จากปกติที่ในรอบ Blind Audition หากมีโค้ชกลายคนใจตรงกันเลือกผู้เข้าแข่งขันคนเดียวกัน แต่ละคนก็ต้องงัดเอากลยุทธ์ต่างๆ สร้างวาทศิลป์และแจกเสน่ห์เพื่อดึงดูดใจให้ผู้เข้าแข่งขันโอนอ่อนยอมเข้าทีมกันอยู่แล้ว แต่สำหรับซีซั่นนี้ “เดอะวอยซ์ไทยแลนด์” ได้เพิ่มความท้าทายขึ้นอีกขั้น โดยเพิ่ม “ปุ่มบล็อก” ให้โค้ชแต่ละคนกันท่าบล็อกไม่ให้โค้ชคนอื่นเลือกคนเดียวกันได้ และไม่ทันที่การแข่งขันจะดำเนินไปได้ซักเท่าไหร่ “โค้ชป๊อบ” ก็ประเดิมกติกาใหม่นี้เป็นคนแรกสุด แถมคนที่เขาตัดสิทธิ์มิให้ดึงคนที่หมายตาไปก็ไม่ใช่ใครอื่น “โค้ชโจอี้บอย” นั่นเอง
นั่นส่งผลให้ ถึง “โค้ชโจอี้” จะกดปุ่มหมุนเก้าอี้กลับมา แต่ก็ทำได้แค่นั่งเฉยๆ ไม่หือไม่อือ ปล่อยให้ “โค้ชป๊อบ” ดึง "เอิร์ธ-นที ศรีจรรยา" เข้าสู่ทีมป๊อบแบบละมุนละม่อม แถมยังมิวายหันมาล้อเลียนโค้ชรุ่นพี่อีกว่า “แล้วทำไมเฮียไม่หันมาละครับ” ยังผลให้ “โค้ชโจอี้” ว้ากขึ้นทันทีว่า “กูหัน”
แค่อีพีแรกยังขนาดนี้ อีพีต่อๆ ไปจะเข้มข้นคน(ไม่)จางขนาดไหน ติดตามได้ใน “เดอะวอยซ์ 2018” ได้ ทุกวันจันทร์ เวลา 20.15 น. ทางช่อง พีพีทีวี เอชดี 36
ติดตามความเคลื่อนไหว The Voice 2018 และรับชม คลิปไฮไลท์
ประวัติ "เอิร์ธ-นที ศรีจรรยา"
เนื้อหอมขนาด 2 โค้ชต้องตบตีแย่งชิงกันขนาดนี้ หลายคนคงอยากจะรู้จักนักศึกษาหนุ่มวัย 24 ที่ชื่อ "เอิร์ธ-นที ศรีจรรยา" กันเพิ่มขึ้น ว่าแล้วเรามาดูกันว่าเส้นทางชีวิตของหนุ่มหัวฟูผู้รักเพลงโซลคนนี้เป็นอย่างไร
• "เอิร์ธ” เริ่มชอบดนตรีและฟังเพลงตั้งแต่ตอนเรียนประถม พอเข้าม.1 เริ่มฝึกกีตาร์ด้วยตัวเอง กระทั่งคุณอาของเขารู้ว่ากลานชายคนนี้ชอบกีตาร์ เลยยกกีตาร์ให้ จากนั้น "เอิร์ธ” ก็เอาจริงเรื่องดนตรีมากขึ้น ชวนเพื่อนไปซ้อมดนตรี และเข้าวงโยธวาทิตของโรงเรียนด้วย
• พอเข้ามหาวิทยาลัย "เอิร์ธ” เริ่มเล่นดนตรีกลางคืน แต่ด้วยนักร้องมักหยุดงานอยู่บ่อยครั้ง ยังผลให้ "เอิร์ธ” ต้องฝึกร้องเพลงเพื่อรับบทนักร้องนำแทน
• เดิมเคยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยสารคาม แต่หลังจากที่เรียนได้เพียงปี 1 ยายทวดเกิดล้มป่วยจึงต้องกลับมายังบ้านเกิดที่สกลนครเพื่อดูแลยายทวด จากนั้นป้าที่ส่งเสียเรียนหนังสือแนะนำให้ย้ายกลับมาเรียนสถาบันที่บ้านเกิดเพื่อความสะดวกและประหยัด
• ส่วนตัว “เอิร์ธ” ชอบร้องเพลงแนวอินดี้เศร้า และเพลงเร็วชอบโซล ฟรังค์ / ไอดอล คือ ชาติ เดอะวอยซ์ ซีซั่นที่ 3 และ Greasy café
• ที่ผ่านมาเคยโดนดูถูกเรื่องเล่นดนตรี ว่าทำไมต้องเล่น เรียนก็ยังไม่จบ แต่ “เอิร์ธ” ก็คิดเสมอว่าถ้าไม่มีดนตรี เราก็คงไม่มีเงินเรียนหนังสือ และยังคงรักรวมถึงเล่นดนตรีมาจนถึงปัจจุบัน