หลานสมาชิกพรรคนาซีตามหาครอบครัวชาวยิวเพื่อขอโทษแทนบรรพบุรุษ


โดย PPTV Online

เผยแพร่




หลานชายที่มีปู่เป็นสมาชิกพรรคนาซีออกตามหาครอบครัวชาวยิว เพื่อขอโทษสำหรับการกระทำของคุณปู่ที่เคยบังคับซื้อร้านมา

ตร.อิตาลี ทลายแก๊งนาซี สกัดตั้งพรรคการเมือง

นักวิชาการ ชี้ สหรัฐฯ-อิหร่าน ยังไม่เกิดสงครามโลกครั้งที่3

โทมัส เอเดลมันน์ (Thomas Edelmann) เกิดในเยอรมนีหลังจากฝ่ายสัมพันธมิตรเอาชนะฮิตเลอร์ได้เป็นเวลา 25 ปี ตลอดชีวิตเกือบ 50 ปีของเขา เขาไม่เคยสัมผัสประสบการณ์ความเลวร้ายของสงคราม แต่มักได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัวที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นของชาวยิวที่ถูกคุณปู่ของเขา วิลเฮล์ม (Wilhelm) บังคับซื้อมา

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เอเดลมันน์เริ่มสืบค้นหลักฐานต่าง ๆ ในตระกูล จนเมื่อปี 2019 เขาพบบันทึกภาษีของนาซีที่ยืนยันว่า ในปี 1938 เบนจามิน ไฮเดลเบอร์เกอร์ (Benjamin Heidelberger) เจ้าของร้านชาวยิว ถูกบังคับให้ขายร้านฮาร์ดแวร์ในเมือง บาด แมร์เกนไธม์ (Bad Mergentheim) ทางตอนใต้ของเยอรมนี ตามระเบียบกฎหมายต่อต้านชาวยิวนูเรมเบิร์ก ที่จำกัดไม่ให้ชาวยิวมีที่ทางอยู่ในระบบเศรษฐกิจของเยอรมนี โดยกฎหมายอนุญาตให้สามารถยึดทรัพย์สินชาวยิวได้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง

เอเดลมันน์ติดต่อไปยัง MyHeritage เว็บไซต์แผนภูมิสาแหรกวงศ์ตระกูล เพื่อตามหาครอบครัวชาวยิวไฮเดลเบอร์เกอร์ เพื่อขอโทษในสิ่งที่คุณปู่ของเขาเคยทำไว้ ซึ่งนี่ไม่ใช่คำร้องขอของปู่แต่อย่างใด เพราะเขาไม่เคยพบหน้าปู่แท้ ๆ ของตนคนนี้เลย

2 สัปดาห์ต่อมา เอเดลมันน์ได้รับโทรศัพท์จาก MyHeritage พวกเขาค้นพบหลักฐานสำคัญ 2 ปะการ หนึ่งคือบันทึกการแปลงสัญชาติของไฮเดลเบอร์เกอร์ในปี 1942 อีกหนึ่งคือหลุมศพของเขาเคียงข้างภรรยาทางตอนเหนือของอิสราเอล  ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทพบว่า หลานสาวคนหนึ่งของไฮเดลเบอร์เกอร์ยังมีชีวิตอยู่

ฮันนา เอห์เรนไรค์ (Hanna Ehrenreich) ครูเกษียณวัย 83 ปี หลานสาวของไฮเดลเบอร์เกอร์ บอกว่า เธอรู้ดีทุกอย่างเกี่ยวกับร้าน “Willi Edelmann” ของเอเดลมันน์ ที่บ้านของเธอมีภาพขาวดำร้านดังกล่าวตั้งแต่สมัยยังใช้ชื่อเดิมว่า “Benny Heidelberger”

เอเดลมันน์เล่าว่า เขาไม่ได้ติดต่อกับครอบครัวฝั่งบิดามาตั้งแต่ปี 1970 เนื่องจากบิดาหย่าร้างกับมารดา ทำให้เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับประวัติครอบครัวฝั่งพ่ออยู่เลย และปัจจุบันตัวเขาก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับร้านค้าที่รุ่งเรืองมาจากร้านฮาร์ดแวร์ของไฮเดลเบอร์เกอร์

เอเดลมันน์ส่งจดหมายถึงเอห์เรนไรค์ เป็นภาษาอังกฤษผ่านทาง MyHeritage โดยไม่รู้ตัวว่าเธอเติบโตมาด้วยการพูดภาษาเยอรมนี

เขาเขียนว่า: “ผมเชื่อว่าถ้าครอบครัวของผมมีส่วนในความอยุติธรรมที่ปู่ย่าตายายของคุณประสบ มันก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องตระหนักเรื่องนี้ และแสดงความรับผิดชอบ อย่างน้อยที่สุด ผมต้องติดต่อหาคุณเพื่อรับฟังและเรียนรู้ชีวิตของพวกคุณ ในฐานะที่ผมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเอเดลมันน์”

“ผมเข้าใจว่าคุณอาจไม่เห็นประโยชน์ใด ๆ ในการพูดคุยกับผม แต่ผมสามารถทำความเข้าใจและสามารถสอนลูก ๆ และสมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ เกี่ยวกับผลกระทบของการตัดสินใจในอดีตได้ นี่อาจช่วยให้พวกเขาไตร่ตรองการตัดสินใจในชีวิตของพวกเขาได้ดีขึ้นในอนาคต”

“ขณะนี้ บรรยากาศทางการเมืองในประเทศของเรากำลังเป็นพิษภัย มีกลุ่มต่อต้านยิวใหม่เกิดขึ้น ผมต้องการให้แน่ใจว่า อย่างน้อยครอบครัวของผมจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อความอยุติธรรมที่ผู้อื่นประสบอีกต่อไป แต่จะยืนหยัดเพื่อมีส่วนร่วมกับผู้ที่ถูกกระทำ”

หลังจากได้รับจดหมายจากเอเดลมันน์ เอเรนไรค์ตกลงคุยกับเขา หลายสัปดาห์ต่อมา ทั้งคู่ใช้เวลา 90 นาทีในการพูดคุยเกี่ยวกับอดีตของครอบครัวทางโทรศัพท์เป็นภาษาเยอรมัน

เอห์เรนไรค์บอกว่า “มันเป็นการสนทนาที่ดีมาก ... โทมัสอยากรู้ว่าชีวิตเราเป็นอย่างไรบ้าง ฉันบอกว่าเรามีความสุข และเรามีชีวิตที่ดี”

เอเรนไรค์บอกเอเดลมันน์ว่า ในปี 1938 ปู่และย่าของเธอ เบนจามิน และ เอ็มมา ใช้เงินที่ได้จากการถูกบังคับขายร้านหนีมายังปาเลสไตน์ เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวยิว “คืนกระจกแตก คริสทัลล์นัคต์ (Kristallnacht)” ในวันที่ 9 และ 10 พฤศจิกายน 1938

ส่วนตัวเธอเองเกิดที่อิสราเอลในปี 1937 เนื่องจากพ่อแม่ของเธอมาถึงอิสราเอล 1 ปีก่อนหน้านั้น แต่น่าเศร้าที่ตายายของเธอยังคงอยู่ในเยอรมนีและเสียชีวิตจากความรุนแรงภายใต้ระบอบนาซี

“เขารู้สึกสะเทือนใจมาก และบอกว่าเขามีความสุขมากที่ได้ฟังเรื่องราวจากฉัน เขาเกือบจะร้องไห้ออกมา” เธอกล่าวถึงเอเดลมันน์

เอห์เรนไรค์ซึ่งใกล้ชิดกับปู่ของเธอได้เล่าเหตุการณ์เกี่ยวกับการยึดร้านว่า ไฮเดลเบอร์เกอร์มักพูดถึงบ้านเกิดเมืองนอนและเขียนเป็นบันทึกไว้ ความว่า “วิลเฮล์ม เอเดลมันน์ ผู้สืบทอดธุรกิจของผม มาหาผมทุก ๆ เดือนเพื่อจ่ายค่าเช่า และแม้ว่าเขาจะเป็นสมาชิกพรรคนาซี แต่เขาก็เป็นคนดีและไม่ใช่พวกต่อต้านชาวยิว”

“ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1937 เราขายบ้านของเราให้เขาในราคา 10,000 ไรชส์มาร์ค  แม้ว่าราคาที่ผมตั้งไว้จะอยู่ที่ 15,000 ต่อมาในเดือนกรกฎาคมปี 1938 เราขายร้านค้าและคลังสินค้าของเราในราคา 28,500 ไรชส์มาร์ค ราคาเดียวกับที่ผมซื้อมาเมื่อ 30 ปีก่อน”

“ภายใต้สถานการณ์อื่น ผมคงสามารถขายมันได้ในราคา 40,000 ไรชส์มาร์ค แต่ในตอนนั้นธุรกิจของชาวยิวจำนวนมากใน บาด แมร์เกนไธม์ ถูกขายไปด้วยมูลค่าต่ำกว่าราคาจริง”

“วันหนึ่งเอเดลมันน์มาหาผม และบอกว่าผมควรออกจากเยอรมนีให้เร็วที่สุด ... มีการวางแผนการจัดการกับชาวยิว และเขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องมาเตือนผม”

เอเดลมันน์กล่าวว่า เขารู้สึกตื้ตันกับการพูดคตุยครั้งนั้น และทั้งคู่ยังคงติดต่อกัน โดยเขาหวังว่าจะได้ไปเยือนอิสราเอลในอนาคต

“มันเป็นช่วงเวลาที่สะเทือนใจเมื่อเธอเล่าเรื่องปู่ของเธอให้ผมฟัง ... แม้ว่าครอบครัวของเธอจะได้รับการปฏิบัติที่เลวร้าย แต่เธอก็เป็นมิตรมากและบอกว่าผมไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรเลย”

แต่ในขณะเดียวกัน เอเดลมันน์มีข้อสงสัยบางประการเกี่ยวกับปู่วิลเฮล์มของเขา “ผมรู้ว่าปู่เป็นนักธุรกิจที่เก่งมาก ตอนที่เขายังเป็นนักเรียน ในช่วงทศวรรษที่ 1920 เขาก็เข้าเป็นสมาชิกพรรคนาซีอยู่แล้ว เป็นช่วงก่อนที่ฮิตเลอร์จะขึ้นสู่อำนาจ ... ผมไม่เชื่อว่าเขาเป็นคนดีขนาดนี้ ผมสงสัยว่าเขาไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ในตอนนั้นจริงหรือ”

เอเดลมันน์มองว่า การเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับลูก ๆ  ของเขาอย่างมาก โดยเฉพาะกับฟินน์ (Finn) ลูกชายวัย 15 ปีของเขาที่เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับนาซีของเยอรมนีในโรงเรียนมัธยมปลาย

“ผมต้องการให้เขาเข้าใจว่า ประวัติศาสตร์คืออะไร และความหมายของประวัติศาสตร์คืออะไร แม้ว่าเขาจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ แต่บรรพบุรุษของเราเป็นผู้ที่สร้างผลกระทบต่อชีวิตของครอบครัวหนึ่งที่เคยใช้ชีวิตในประเทศนี้ ... ผมอยากให้เขาเรียนรู้และเข้าใจว่า การตัดสินใจอะไรก็ตามที่เขาทำมันมีผลกระทบต่อชีวิตของคนอื่น”

เรียบเรียงจาก CNN

ภาพจาก CNN

PR - ตารางคะแนน-2_B PR - ตารางคะแนน-2_B
TOP ต่างประเทศ
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ