"ทรัมป์" ประกาศภาวะฉุกเฉินวอชิงตันดีซี
“ทรัมป์” ให้คำมั่น จะถ่ายโอนอำนาจอย่างราบรื่น
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เพนซ์ส่งจดหมายหนังสือแจ้งต่อนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร จากพรรคเดโมแครต ว่าตนเองจะไม่ใช้อำนาจตามบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ 25 ถอดถอนทรัมป์ ออกจากตำแหน่ง เพราะไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อชาติและไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ
เพนซ์ ยังระบุด้วยว่า บทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ 25 ไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือลงโทษหรือยึดอำนาจ และควรสงวนไว้ใช้ในกรณีที่ประธานาธิบดีเสียชีวิต มีปัญหาสุขภาพ หรือกลายเป็นบุคคลไร้ความสามารถ เท่านั้น
สำหรับบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ 25 เกิดขึ้นหลังจากเหตุลอบสังหารอดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี โดยเป็นกลไกที่เปิดทางให้รองประธานาธิบดีขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทนประธานาธิบดี ที่อยู่ในสภาพไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อได้ ซึ่งนับจนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่เคยมีประธานาธิบดีที่ยังอยู่ในตำแหน่งคนใด ถูกปลดจากตำแหน่งด้วยวิธีนี้
ความเคลื่อนไหวของเพนซ์มีขึ้นเพียงไม่นาน ก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมาก จะลงมติด้วยคะแนนเสียง 223 ต่อ 205 เรียกร้องให้เพนซ์ และคณะรัฐมนตรี ใช้อำนาจดังกล่าว ปลดทรัมป์
เนื่องจากเพนซ์ปฏิเสธ ขั้นตอนจึงจะกลับไปสู่การพิจารณาถอดถอนโดยสภาผู้แทนราษฎรตามปกติ ซึ่งคาดว่าจะมีการอภิปรายและผ่านร่างมติในวันนี้ ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ โดยล่าสุด มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากพรรครีพับลิกัน แล้วอย่างน้อย 3 คน ที่ประกาศจะร่วมลงคะแนนถอดถอนทรัมป์
หนึ่งในนั้น คือ ส.ส.หญิง ลิซ ชีนีย์ บุตรสาวของอดีตรองประธานาธิบดี ดิก ชีนีย์ ที่ระบุว่า ไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนไหนทรยศหน้าที่และคำสัตย์ปฏิญาณที่ให้ไว้ได้มากขนาดนี้
ขณะที่เมื่อวานนี้ (12 ธ.ค.) ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์สื่อเป็นครั้งแรกหลังเกิดเหตุจลาจลม็อบบุกรัฐสภา โดยยืนยันว่าเนื้อหาคำปราศรัยของตนก่อนวันเกิดเหตุ เหมาะสมดี ไม่มีอะไรเกินเลย พร้อมยืนยันว่าตนเองไม่ต้องการความรุนแรง ส่วนกระบวนการถอดถอนตนเองออกจากตำแหน่ง ก็เป็นส่วนหนึ่งของการล่าแม่มดที่เขาเผชิญมาตลอด