นิวยอร์กขอรัฐบาลกลางช่วยจ่ายงบอารักขา "ทรัมป์"
เผยที่มา “เค ทะเลทราย” ผสมกันเองไม่ตายตัว
บิล เดอ บลาซิโอ นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ประกาศว่า เตรียมที่จะยกเลิกสัญญากับธุรกิจในเครือ Trump Organization จำนวน 3 สัญญาที่ตกลงไว้ เพราะการกระทำของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ปลุกระดมมวลชนให้ลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลและกระบวนการทางประชาธิปไตยเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
ปัจจุบันธุรกิจที่ทรัมป์ทำสัญญาไว้ก็มี ลานสเก็ตน้ำแข็ง Wollman ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเซ็นทรัลปาร์ค, ลานสเก็ตน้ำแข็ง Lasker และม้าหมุนที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเศ็นทรัลปาร์ค และสนามกอล์ฟที่มีชื่อว่า Trump Golf Links ที่ตั้งอยู่ในย่านบรองซ์ ซึ่งธุรกิจทั้งหมดนี้ทำกำไรให้ Trump Organization ปีละ 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 510 ล้านบาท และสำหรับลานสเก็ตได้ชื่อว่าเก่าแก่และเป็นแหล่งพักผ่อนยอดนิยม เนื่องจากเปิดมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980
พอข่าวออกมาแบบนี้ ฝ่ายทรัมป์ก็สวนกลับทันที อีริค ทรัมป์ ลูกชายคนรองซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธาน Trump Organization ออกมาระบุว่า นายกเทศมนตรีนิวยอร์กไม่มีสิทธิในการยกเลิกสัญญาธุรกิจ จากเหตุผลที่เลือกปฏิบัติทางการเมือง
รวมถึงยังระบุว่า หากทางนิวยอร์กต้องการยกเลิกสัญญาจริง พวกเขาจะต้องจ่ายหนี้ที่ค้างอยู่ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 900 ล้านบาท
ทั้งนี้ทางสำนักงานของนายกเทศมนตรีออกมาระบุว่า สัญญาลานสเก็ตน้ำแข็งในเซ็นทรัลปาร์คสามารถยกเลิกได้ทันที 1 เดือนหลังการประกาศ แต่สำหรับสนามกอล์ฟอาจต้องใช้เวลาในการเจรจาหลายเดือน
ล่าสุด มื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาสนามกอล์ฟของทรัมป์ในบรองซ์เพิ่งจะถูกสมาคมกอล์ฟแห่งอเมริกา หรือ PGA ยกเลิกการจัดการแข่งขันโปรกอล์ฟทัวร์นาเมนต์ปี 2022 ไป ซึ่งนับว่าเป็นอีเว้นท์ใหญ่ที่มักจัดขึ้นในสนามแห่งนี้ เหตุผลก็คล้ายคลึงกัน คือสืบเนื่องมาจากการที่ทรัมป์จุดไฟให้ผู้สนับสนุนบุกเข้ารัฐสภาฯ
ล่าสุดการตีตัวออกห่างนี้ยังรวมไปถึงธุรกิจอื่นๆ และธนาคารรายใหญ่อย่าง ดอยซ์แบงก์ ที่สนับสนุนเงินกู้แก่ Trump Organization มาตลอด โดยก่อนหน้าคำประกาศของนายเทศมนตรีนครนิวยอร์กเพียง 1 วัน ดอยซ์แบงก์ ธนาคารยักษ์ใหญ่ของเยอรมันก็เพิ่งจะประกาศว่าจะไม่ทำธุรกรรมทางการเงินร่วมกับเครือข่าวของทรัมป์อีกต่อไป
ข่าวล่าสุดนี้รายงานโดย New York Times แต่ระบุว่าทางโฆษกของดอยซ์แบงก์ยังไม่มีความเห็นต่อการประกาศดังกล่าว
อย่างไรก็ตามประเด็นนี้มีแนวโน้มว่าจะเป็นจริง เนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังเหตุม็อบบุกสภา คริสเตียนา ไรลีย์ ผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการของดอยซ์แบงก์สาขาสหรัฐอเมริกา ออกมาประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
โดยเธอระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือวันแห่งความมืดมนของสหรัฐฯ และการใช้ความรุนแรงไม่ควรเกิดขึ้นในสังคม ทั้งนี้ดอยซ์แบงก์ ถือว่าเป็นผู้ปล่อยกู้รายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของ Trump Organization และปัจจุบันยังมีเงินกู้ค้างชำระอยู่ 340 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีธุรกิจยักษ์ใหญ่อื่นๆ อีก เช่น ธนาคาร 4 แห่งที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้แก่ ธนาคาร JPMorgan Chase, Goldman Sachs, Citigroup และ Morgan Stanley ออกมาระบุว่า พวกเขาหยุดการบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนทรัมป์
มากกว่านั้นยังมีโรงแรมแมริออต, กูเกิล, โคคาโคล่า, ไมโครซอฟต์, เฟซบุ๊ก, อินเทล, แอร์บีเอ็นบีและอื่นๆ อีกมากมายที่ทยอยกันออกมาประกาศว่าจะยุติการบริจาคเงินสนับสนุนทรัมป์ รวมไปถึงสส. คนอื่นๆ ที่เข้าข้างทรัมป์จากกรณีที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน โดยในจำนวนนี้หลายบริษัทได้ส่งจดหมายเรียกร้องให้กระบวนการถ่ายโอนอำนาจเป็นไปอย่างสันติ รวมไปถึงเรียกร้องให้ทรัมป์ลาออกจากตำแหน่ง