พาเหรดปิดฉากประชุมใหญ่พรรคแรงงานเกาหลีเหนือยิ่งใหญ่
ผู้นำเกาหลีเหนือยอมรับ ศก.ย่ำแย่ที่สุด ในรอบหลายปี
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือจัดการประชุมใหญ่ของพรรคแรงงาน โดยเป็นการประชุมครั้งแรกในรอบ 5 ปี ที่มีสมาชิกพรรคเข้าร่วมถึง 7,000 คน เนื้อหาคือการสรุปผลงานและวางแนวทางการบริหารประเทศในอนาคต
หลายวันของการประชุมมีไฮไลท์ที่น่าสนใจเกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่ในวันแรกที่คิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดออกมายอมรับต่อทุกคนว่า เศรษฐกิจของประเทศกำลังย่ำแย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ตามมาด้วยการกดดันรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ ด้วยการประกาศว่า อเมริกาจะยังคงเป็นชาติศัตรูหมายเลขหนึ่งต่อไป ไม่ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดี ทั้งยังเผยแผนพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ที่หลายฝ่ายระบุว่าเป็นความทะเยอทะยานอย่างมาก และหากทำได้จริงเกาหลีเหนือจะสามารถยิงขีปนาวุธไปถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้
ล่าสุดการประชุมมาราธอนที่กินระยะเวลา 8 วันได้สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อวันพุธที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งหลังการประชุมสิ้นสุดทางพรรคก็ได้ถ่ายภาพหมู่ร่วมกันเป็นที่ระลึก
ช่วงกลางวันของวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา สมาชิกพรรคแรงงานออกมารวมตัวกันยังจุดนัดถ่ายภาพบริเวณหน้าอาคารรัฐสภา ทันทีที่รถของผู้นำเดินทางมาถึง ทุกคนก็พร้อมใจกันปรบมือต้อนรับ
คิม จอง อึน โบกมือให้กับทุกคน ท่ามกลางเสียงปรบมือดังกระหึ่ม ฉลองการสิ้นสุดการประชุมใหญ่ครั้งสำคัญของพรรค ในรายงานข่าวไม่ได้ระบุจำนวนของผู้เข้าร่วมถ่ายภาพหมู่ แต่จะเห็นว่ามีจำนวนเยอะมาก จนเมื่อกล้องซูมภาพออก ใบหน้าของทุกคนในภาพถ่ายเหลือเพียงจุดเล็กๆ เท่านั้น จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และเมื่อการถ่ายภาพเสร็จสิ้น ทุกคนก็พร้อมใจกันปรบมือส่งท้ายให้ผู้นำคิมอีกครั้ง
นั่นคือบรรยากาศในช่วงกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนของวันนั้น ในกรุงเปียงยางมีการขนขบวนพาเหรดอาวุธออกมาแสดงอีกครั้ง
อาวุธที่ขนออกมาประกอบไปด้วยขีปนาวุธหลายรุ่น คล้ายคลึงกับที่เกาหลีเหนือเคยโชว์แสนยานุภาพไปเมื่อเดือนตุลาคม ปีที่ผ่านมา ในการฉลองครบรอบปีที่ 75 ของพรรคแรงงาน
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าในงานไม่ปรากฏขีนาวุธพิสัยไกลรุ่นล่าสุดที่ทางเกาหลีเหนืออ้างว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งอวดโฉมครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคมแต่อย่างใด มากกว่านั้นยังมีการเดินสวนสนามของทหาร ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยการจุดพลุฉลองอย่างอลังการ โดยผู้นำคิมปรากฎตัวในชุดเสื้อหนัง และหมวกกันหนาวสีดำ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน
ตามที่เกาหลีเหนืออ้างว่าไม่มีผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศเลย ส่งผลให้ภาพที่ออกมาปราศจากการสวมหน้ากากอนามัย และการเว้นระยะห่าง มีเพียงประชาชนไม่กี่คนเท่านั้นที่สวมหน้ากากอนามัย
