ชาวเมียนมาทำอารยะขัดขืนต้านรัฐประหารเป็นวันที่ 2
“อองซาน ซูจี-อดีตปธน.เมียนมา” ถูกตั้งข้อหาหลายกระทง
รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยกับทีมข่าวพีพีทีวีว่าปัจจัยที่ทำให้กลุ่มแพทย์ ครู และข้าราชการคนเหล่านี้ิิออกมาร่วมขบวนต่อต้านรัฐประหารเนื่องจากถูกกดทับทางสังคม และการปฏิรูปที่ผ่านมาของเมียนมาทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น และพวกเขาไม่อยากกลับไปเป็นแบบเดิมอีกจึงออกมาเคลื่อนไหวแสดงพลังต่อต้าน
“ผมคิดว่าจริงๆแล้วในเมียนมาเองเป็นสังคมที่ถูกกดทับ เพราะว่ามีการปกครองของกองทัพมาต่อเนื่องยาวนาน เพราะฉะนั้นเมื่อมีการปฏิรูป เราเริ่มเห็นตั้งแต่ปี 2008 และกระบวนการเริ่มจริงจังมากๆ ในปี 2010-2011 มาจนถึงวันนี้ เขาก็รู้สึกห่วงแหน และรักในการปฏิรูปนั้น เพราะการปฏิรูปนั้น ในที่สุดทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ ทำให้คุณภาพชีวิตของเขาดีขึ้น รายได้ของเขาดีขึ้น ฐานะของเขาดีขึ้น ปากท้องของเขาดีขึ้น เพราะฉะนั้น เขาก็กังวลว่า ถ้าไม่ออกมาทำอะไร ไม่ออกมาเรียกร้องแล้วปล่อยให้กองทัพกลับเข้ามาในวังวนเดิม ก็จะทำให้พวกเขากลับไปอยู่สถานะที่มีปัญหาแบบเดิมอีก เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็เป็นแรงผลักดันและขับเคลื่อนให้พวกเขาออกมา" รศ.ดร.ปิติ ระบุ
ส่วนวานนี้ มีภาพของ "เนย์ โซ หม่อง" ซึ่งเป็นลูกเขยของ พลเอก อาวุโส ตาน ฉ่วย อดีตผู้นำเผด็จการของรัฐบาลทหารเมียนมาออกมาชูสามนิ้วต้านรัฐประหารร่วมกับประชาชนบนท้องถนนในนครย่างกุ้ง จนทำให้หลายฝ่ายมีความกังวลว่าอาจจะมีการรัฐประหารซ้อน โดยรศ.ดร.ปิติ มองว่า การรัฐประหารซ้อนเป็นไปได้ยาก เพราะนายพลตานฉ่วย ไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะทำได้
"นายพลตานฉ่วย ซึ่งตอนนี้มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ ลูกหลานอาจจะมีฐานะทางการเงิน ทางเศรษฐกิจ แต่ว่าไม่ได้มีการคุมกำลัง ไม่ได้เป็นคนคุมอาวุธยุทโธปกรณ์ ไม่ได้คุมกองกำลัง คงจะนำการเปลี่ยนผ่านได้ยาก และนายพลตานฉ่วย เองไม่ได้มีศักยภาพพอที่จะปฏิวัติซ้อนได้"รศ.ดร.ปิติ กล่าว