“นิวรัลลิงก์” เปิดตัวหมูฝังชิปคอมพิวเตอร์ในสมอง
นักวิทยาศาสตร์ สร้างหัวใจเทียมจากปรินเตอร์ 3 มิติ
นักวิจัยสหรัฐฯ พัฒนาระบบปลดล็อกสมาร์ทโฟนด้วย “เหงื่อ”
เส้นเสือดเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญของระบบหมุนเวียนเลือด ช่วยให้สามารถส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ทั่วร่างกายของคนเรา และมีบางจุดเช่นกันที่เรามักสังเกตเห็นเส้นเลือดได้ชัด เช่น หลังมือ ข้อพับ แขน
ล่าสุด เส้นเลือดอาจจะกำลังมีความสำคัญเพิ่มขึ้น เมื่อนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวเซาธ์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ตีพิมพ์งานวิจัยในวารสาร IET Biometrics ระบุว่า ได้พัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่สามารถระบุตัวตนของคุณได้ว่าเป็นใครจาก “เส้นเลือดที่หลังมือ”
การจดจำไบโอเมตริกซ์ (Biometrics) หรือการตรวจพิสูจน์บุคคล เป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าถูกนำไปใช้ทุกที่ตั้งแต่ในสนามบิน ไปจนถึงหน่วยงานตำรวจ และแม้แต่ไนท์คลับ และยังมีวิธียืนยันตัวตนด้วยม่านตา ลายนิ้วมือ และการจดจำเสียง
แต่ ไซเอด ชาห์ นักวิจัยสาจาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และวิศวกรรม จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์กล่าวว่า วิธีไบโอเมตริกซ์บางวิธีมี “จุดอ่อน”
ตัวอย่างเช่น ลายนิ้วมือสามารถรวบรวมได้จากพื้นผิวใด ๆ ที่ใครบางคนได้สัมผัสและก๊อบปี้มาเพื่อสร้างภาพพิมพ์จำลอง เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าสามารถใช้ภาพที่รวบรวมจากโซเชียลมีเดียมาหลอกระบบ และม่านตาสามารถใช้คอนแทคเลนส์ปกปิดได้
“รูปแบบของเส้นเลือดอยู่ใต้ผิวหนัง ดังนั้นจึงไม่ทิ้งรอยประทับใด ๆ ซึ่งแตกต่างจากลายนิ้วมือ ไม่สามารถใช้ภาพจากโซเชียลมีเดียต่างจากรูปถ่ายใบหน้า ดังนั้นเราเชื่อว่าวิธีการที่ใช้เส้นเลือดเพื่อยืนยันตัวตนจะหลบเลี่ยงได้ยากกว่ามาก” ชาห์บอก
ทีมวิจัยใช้กล้องถ่ายภาพเส้นเลือด 17,500 ภาพจากกลุ่มตัวอย่าง 35 คน โดยที่ผู้เข้าร่วมทำมือเป็นกำปั้นให้เห็นรูปแบบหรือแพตเทิร์นของเส้นเลือดบนมือ
จากนั้นนักวิจัยใช้ปัญญาประดิษฐ์จำแนก “คุณลักษณะที่แตกต่างกัน” เพื่อระบุตัวตน โดยจากการทดลองเบื้องต้นมีความแม่นยำมากกว่า 99% จากกลุ่มตัวอย่าง 35 คน
ชาห์ยังเสริมว่า “การทำมือเป็นกำปั้นสำหรับการบันทึกรูปแบบเส้นเลือดดำบนหลังมือ ทำให้การที่ผู้ไม่หวังดีจะได้รับรูปแบบของเส้นเลือดดำมาใช้ในการบืนยันตัวตนเป็นไปได้ยาก”
ชาห์บอกว่า แนวคิดในการใช้เส้นเลือดเพื่อระบุตัวบุคคลนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่โดยปกติแล้วจะต้องใช้เทคโนโลยีเฉพาะทาง แต่การวิจัยของทีมของเขาใช้กล้อง 3 มิติที่หาได้ทั่วไป
ทีมวิจัยกล่าวว่า เทคนิคนี้สามารถนำไปใช้กับระบบตรวจสอบบุคคลบนอุปกรณ์ส่วนตัว เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ได้ด้วย โดยจะยังคงมีการพัฒนาระบบต่อไปไม่ให้เกิดความผิดพลาด
เรียบเรียงจาก CNN
ภาพจาก Shutterstock