สู่ปีที่ 100 พรรคคอมมิวนิสต์จีน สานฝันสังคมนิยมสมัยใหม่
“สี จิ้นผิง”ขึ้นแท่นทรงอิทธิพลมากที่สุดในประเทศ
ในการประชุมพรรคเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง มีช่วงหนึ่งที่ผู้นำจีนได้เน้นย้ำให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ศึกษาประวัติศาสตร์ของพรรค ตลอดจนองค์ความรู้และทฤษฎีต่างๆ เกี่ยวกับลัทธิมาร์กซิสต์
การระบุให้สมาชิกพรรคไปศึกษาความรู้เพิ่มเติมนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังเตรียมการสำหรับการเฉลิมฉลองครบรอบปีที่ 100 ของการก่อตั้งพรรคซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 23 กรกฎาคมนี้ และคาดกันว่าจะจัดออกมาอย่างยิ่งใหญ่
อีกเป้าหมายหนึ่ง สี จิ้นผิงระบุว่า การกลับไปศึกษาทบทวนยังรากฐานจะช่วยให้จีนกำหนดแนวทางในอนาคตได้ชัดเจนขึ้น ด้วยเป้าหมายพัฒนาสังคมจีนให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
หนึ่งในนั้นคือการขจัดความยากจน โดยคาดกันว่าจีนตั้งเป้าว่าจะทำให้ได้ก่อนปี 2049 ซึ่งจะเป็นปีที่สาธารณรัฐประชาชนจีนฉลองครบรอบ 100 ปี ของการก่อตั้งประเทศ
Communist Party of China หรือ CPC ปัจจุบันได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในพรรคการเมืองเก่าแก่ และเป็นพรรคการเมืองที่มีสมาชิกพรรคมากที่สุดในโลก
จากจุดเริ่มต้นที่มีสมาชิกพรรคเพียงไม่กี่สิบคน ปัจจุบันพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีสมาชิกมากถึง 91 ล้านคน มากกว่าประชากรประเทศไทย และคิดเป็นร้อยละ 6 ของประชากรจีนแผ่นดินใหญ่
สมาชิกพรรคเหล่านี้มีตำแหน่งที่ทางตั้งแต่ในระดับชุมชนไปจนถึงระดับสูง ทำงานกันแบบกระจายอำนาจ บริหารขับเคลื่อนจีนมาแต่ตั้งเริ่มก่อตั้งประเทศขึ้นเมื่อปี 1949
โดยทุกๆ 5 ปี ทางพรรคจะจัดประชุมใหญ่ผ่านตัวแทนราว 2,300 คน เพื่อเฟ้นหานโยบาย ตลอดจนปรับเปลี่ยนสมาชิกในตำแหน่งต่างๆ ที่สำคัญ
ที่ผ่านมามีผู้นำพรรคมาแล้ว 5 รุ่นที่ขึ้นเป็นผู้นำประเทศ โดยคนปัจจุบันคือ สี จิ้นผิง อย่างไรก็ตาม แม้ผู้นำจีนจะให้สมาชิกกลับไปศึกษาลัทธิมาร์กซิสต์ ซึ่งเป็นอุดมการณ์ของ คาร์ล มาร์กซ์ บิดาผู้ให้กำเนิดแนวคิดคอมมิวนิสต์ก็ตาม
แต่ปัจจุบันคอมมิวนิสต์จีนห่างไกลจากทฤษฎีมาก และการปรับตัวนี้เองที่สร้างระบอบการปกครองแบบจีนโดยเฉพาะ นำพาให้จีนมาไกล จนกลายเป็นประเทศอันดับสองของโลกที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด
ต้นศตวรรษที่ 20 จีนในสายตาของโลกคือคนป่วยแห่งเอเชียเริ่มตั้งแต่การที่ราชวงศ์ชิงพ่ายแพ้อังกฤษในสงครามฝิ่นจนต้องเสียดินแดน ตามมาด้วยการโค่นล้มราชวงศ์ชิง
ปี 1921 พรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อตั้งขึ้นแต่ยังไม่มีอำนาจ เพราะในเวลานั้นจีนปกครองโดยพรรคก๊กมินตั๋ง ที่ยึดถือแนวคิดประชาธิปไตยแบบตะวันตก
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองอุบัติขึ้น จีนถูกญี่ปุ่นรุกราน สิ้นสุดสงครามโลก เกิดสงครามกลางเมืองในจีนระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ที่นำโดยเหมา เจ๋อตง และพรรคก๊กมินตั๋งที่นำโดยเจียงไคเช็ค
ชัยชนะเป็นของพรรคคอมมิวนิสต์ นำมาสู่การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 และมีเพียงพรรคการเมืองเดียวที่ปกครองบริหารประเทศมาตั้งแต่วันนั้น
อย่างไรก็ตาม คอมมิวนิสต์ ตามทฤษฎีส่งผลให้ประเทศย่ำแย่กว่าเดิม เหมา เจ๋อตง ผู้นำคนแรกนำแนวคิดมาร์กซิสมาใช้เต็มที่ กรรมสิทธิ์และการครอบครองทรัพย์สินทั้งหมดถูกยกเลิก พื้นที่การเกษตรทั้งหมดกลายเป็นของรัฐทำตามทฤษฎีและอุดมการณ์แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ จีนเผชิญกับทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ จนมีผู้เสียชีวิตถึง 30 ล้านคน จีนยากจน อดอยาก และปิดตัวเองโดดเดี่ยว
ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในปี 1976 เมื่อเหมา เจ๋อตงเสียชีวิต เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำรุ่นที่ 2 สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แนวคิดแบบมาร์กซิสยังคงถูกใช้ แต่ปรับปรุง
ประชาชนสามารถทำธุรกิจ ทำการค้าขาย ในขณะที่นานาชาติก็สามารถลงทุนในจีนได้ ก่อกำเนิดเป็นสังคมนิยมแบบจีนที่ไม่จำเป็นต้องยากจนและสิ่งนี้เองคือรากฐานของจีนยุคใหม่ที่ดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน
เทียบกับเมื่อ 70 ปีก่อน ชาวจีนวันนี้ส่วนใหญ่อยู่ดีกินดี การพัฒนาอย่างต่อเนื่องลดจำนวนคนยากจนลงถึง 800 ล้านคนส่งผลให้จีนมีจำนวนชนชั้นกลางมากที่สุดในโลก
รากฐานที่พรรคคอมมิวนิสต์วางก่อกำเนิดรูปแบบผสม จีนกลายเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยทุนนิยมภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์เดียว
แม้จะย้อนแย้ง แต่ก็ช่วยให้เศรษฐกิจจีนเติบโตในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และลดจำนวนคนยากจนลดลงถึง 800 ล้านคน
ปัจจุบัน จีนถือเป็น 1 ใน 5 ประเทศของโลกที่ยังคงใช้แนวคิดคอมมิวนิสต์ และมีพรรคที่อุ้มชูอุดมการณ์คอมมิวนิสต์บริหารประเทศ
นอกจากจีนแล้วอีก 4 ประเทศก็คือ เกาหลีเหนือ ลาว เวียดนาม และคิวบา ในจำนวนนี้มีเพียงจีนประเทศเดียวที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ดีกินดี