จับตา! กองกำลังชาติพันธุ์เมียนมา หลัง CRPH ปลดล็อก ยิงสู้กองทัพได้
กองทัพเมียนมา เดินหน้าสังหารปชช. อายุน้อยสุด 14 ปี
รัฐยะไข่เคยเป็นราชอาณาจักรปกครองตนเอง ก่อนพม่าเข้ามายึดช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 จากนั้นอังกฤษก็เข้ามาเอาพม่าทั้งหมดเป็นอาณานิคม หลังพม่าได้รับเอกราชเมื่อปี 1948 รัฐยะไข่ไม่ได้สิทธิ์ในการปกครองตัวเองกลับคืนมา ในรัฐยะไข่มีประชากรทั้งชาวพุทธและมุสลิม
ในที่นี้เราจะเรียกว่า ชาวพุทธอาระกัน และชาวมุสลิมโรฮิงญา ความสัมพันธ์ของสองกลุ่มเป็นอย่างไร ไม่ได้ถูกกันมาก แต่มีศัตรูร่วมคือ พม่า
ชาวพุทธอาระกันมีกองกำลังของตัวเองคือ กองทัพอาระกัน ส่วนมุสลิมโรฮิงญาปรากฏมีกลุ่มกำลังที่ชื่อว่า กองกำลังปลดปล่อยมุสลิมโรฮิงญา
เป้าหมายหลักของกองทัพอารกันคล้ายกับของกองกำลังชาติพันธุ์อื่นนั่นคือ เรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเอง และกันกองทัพพม่าออกไปจากพื้นที่ของตน
AA เป็นกองกำลังที่ก่อตั้งได้เพียง 12 ปี แต่เข้มแข็ง มีกำลังทหารมากที่สุดรองจากทัพว้าและคะฉิ่น
ผู้นำของกองทัพอารกันคือ ตวัน มยัต อายุ 42 ปีเป็นคนรุ่นใหม่ จบการศึกษาด้านวิศวกรรม เป็นคนที่สามารถดึงคนจำนวนมากในรัฐให้สนับสนุนได้
ชาวพุทธอาระกันมีพรรคการเมืองเป็นของตัวเองด้วย คือ พรรคแห่งชาติอาระกัน
เมื่อปี 2015 พรรคนี้ได้ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งด้วย และได้ที่นั่งในสภามาถึง 10 ที่นั่ง เป็นพรรคการเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้ที่นั่งมากที่สุด
ชาวอาระกันคาดหวังว่า นางอองซานซูจี ผู้นำพรรคเอ็นแอลดีซึ่งเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลคราวนั้นเพราะได้เสียงมากที่สุดจะเลือกคนจากพรรคแห่งชาติอาระกันเข้าไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย โดยเฉพาะรัฐมนตรีประจำรัฐ แต่ปรากฏว่า นางซูจีเลือกคนของพรรคตัวเองเป็นแทน ทำให้เกิดความไม่พอใจ และไม่พอใจมากยิ่งขึ้นเมื่อทหารและตำรวจเมียนมาออกปฏิบัติการณ์กวาดล้างโรฮิงญาในรัฐยะไข่ เมื่อปี 2017 มีชาวพุทธออกมาประท้วง มีการใช้กระสุนจริงสลายการชุมนุมทำให้มีชาวพุทธเสียชีวิต
4 มกราคม 2019 ขณะที่มีการเฉลิมฉลองวันฉลองเอกราชจากอังกฤษของพม่า กองทัพอาระกันโจมตีป้อมตำรวจพม่าในรัฐยะไข่ ทำให้มีตำรวจเสียชีวิต 13 นาย
กองทัพพม่าตอบโต้ด้วยการส่งกองกำลังนับหมื่นนายเข้าไปในรัฐยะไข่ กองทัพอารกันที่ส่วนหนึ่งในรับการฝึกจากกองกำลังชาติพันธุ์คะฉิ่นสู้ยิบตา มีการใช้ยุทธวิธีป่าล้อมเมือง ปฏิบัติการจิตวิทยา รวมถึงการวางระเบิดและลักพาตัวเจ้าหน้าที่และนักการเมืองพม่า ทำให้ทหารพม่าไม่สามารถปราบกองทัพอารกันได้
รัฐบาลของนางอองซานซูจีขึ้นป้าย ประกาศให้กองทัพอาระกันเป็นกลุ่มก่อการร้าย เป็นองค์กรนอกกฎหมาย เป็นกองกำลังที่เข้มแข็งมากที่สุดกลุ่มหนึ่งในบรรดากองกำลังชาติพันธุ์ทั้งหมด และนั่นก็เป็นสิ่งที่อธิบายว่า หลังการยึดอำนาจของนายพลมิน อ่อง หล่าย เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ กองทัพเมียนมาร์ได้ประกาศถอนชื่อ AA จากกลุ่มการร้ายทันที
หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่าเพื่อเป็นการตัดกำลังคนที่ต่อต้านกองทัพ นอกจากถอดรายชื่อ AA จากองค์กรก่อการร้ายแล้ว กองทัพเมียนมายังเสนอตำแหน่งทางการเมืองให้กับสมาชิกพรรคแห่งชาติอากันด้วย
ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่อธิบายว่า ในบรรดากลุ่มชาติพันธุ์ที่จับมือมือกับ CRPH องค์กรที่จัดตั้งโดย สส และคนของพรรคเอ็นแอลดีเพื่อต่อต้านการยึดอำนาจของกองทัพจึงยังไม่มีชื่อของกองทัพอารกัน
ชาติพันธุ์ 3 กลุ่มหลักที่เป็นพันธมิตรกับ CRPH และจับอาวุธขึ้นสู้กับกองทัพเมียนมาในขณะนี้คือ
1. สภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน (RCSS)
2. กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกระเหรี่ยง(KNLA)
3. และกองทัพเอกราชคะฉิ่น (KIA)
ตอนนี้กองทัพเมียนมาก็ต้องรับมือหนักกับ 3 กลุ่มนี้ แต่ล่าสุดอาจต้องหนักเพิ่ม
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า กองกำลังอาระกันหรือ AA ซึ่งประกาศหยุดยิงชั่วคราวกับกองทัพเมียนมาหลังถูกถอดออกจากการเป็นกลุ่มก่อการร้าย ได้เปลี่ยนท่าทีแล้ว
รอยเตอร์อ้างอิงคำพูดของโฆษกกองทัพอาระกัน ไข่ ตู ข่า ที่ระบุว่า เศร้าสลดใจต่อการใช้กำลังปราบปรามประชาชนของทหารเมียนมาการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่โหดเหี้ยมและไม่สามารถยอมรับได้
มีข้อที่น่าสังเกตุว่า ท่าทีล่าสุดที่เปลี่ยนไปของกองทัพอาระกันเกิดขึ้นหลังจากสมาชิกคนสำคัญของ CRPH ซาไล หม่อง ไทน่ แซน หรือดอกเตอร์ชาซ่าซึ่งได้รับแต่งตั้งจาก CRPH ให้เป็นทูตผู้แทนประจำสหประชาชาติ (UN) ออกมาแถลงยอมรับว่า ทหารเมียนมาได้กระทำการอันเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติจริงด้วยการสังหารกวาดล้างชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ และเขาสัญญาว่าจะนำความยุติธรรมคืนให้ชาวโรฮิงญา
ถึงแม้พวกเขาจะไม่ใช่ชาวมุสลิมโรฮิงญา แต่เป็นไปได้ว่าหัวอกของกลุ่มชาติพันธุ์เหมือนกันคือปัจจัย การกวาดล้างมุสลิมโรฮิงญาในรัฐยะไข่เมื่อปี 2017 ส่งผลให้เกิดคลื่นผู้อพยพเกือบล้านหนีตายไปยังบังกลาเทศ ประเทศแกมเบียนำเรื่องนี้ร้องต่อศาลโลก โดยรัฐบาลเมียนมาที่นำโดยนางอองซานซูจีปฏิเสธเรื่องนี้มาโดยตลอด ตัวเธอถึงกับปกป้องการกระทำของทหารพม่าในศาลโลกด้วย
นอกจากจากท่าทีของกองทัพอาระกันที่เปลี่ยนไป ประชาสังคมในรัฐยะไข่ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีท่าทีใดๆ ได้ออกแถลงการณ์เพื่อประณามการยึดอำนาจและการใช้ความรุนแรงของทหารเมียนมาด้วย