เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เนปาลพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่กว่า 9,300 ราย ภายในเวลา 24 ชั่วโมง นับเป็นยอดผู้ติดเชื้อรายวันที่สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาด
ผู้ติดเชื้อใหม่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 100-300 ราย ข้ามมาวันนี้ ผู้ติดเชื้อ 9,300 ราย เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 1,200 ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ส่วนยอดผู้เสียชีวิต เมื่อวานนี้มี 225 ราย จากเดิมเฉลี่ยวันละ 100 ราย เนปาลมียอดผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 413,000 ราย เสียชีวิตแล้วกว่า 4,000 ราย
วิกฤต! อินเดียขาดแคลนออกซิเจนหนัก หลังผู้ป่วยโควิดทะลุ 3 แสนต่อวัน
เนปาลเป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขเปราะบางอยู่แล้ว ที่นี่มีประชากรราว 28 ล้านคน แต่มีเตียงสำหรับผู้ป่วยหนักเพียง 1,595 เตียง และมีเครื่องช่วยหายใจเพียง 480 เครื่องเท่านั้น เมื่อการระบาดระลอกสองโจมตี ผู้ป่วยก็ล้นโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว ออกซิเจนขาดแคลน สถานที่เผาศพไม่เพียงพอ ภาพที่เกิดขึ้นในเนปาลตอนนี้จึงไม่ต่างจากอินเดีย
อาชานา เชรสธา (Archana Shrestha) ศาสตราจารย์ด้านสาธารณสุขประจำมหาวิทยาลัยกาฐมาณฑุเปิดเผยว่า ขณะนี้เนปาลกำลังเผชิญกับแรกระยะแรกของการระบาดระลอกสองเท่านั้น หมายความว่าสถานการณ์ในเนปาลจะรุนแรงมากขึ้นกว่านี้
รัฐบาลเนปาลร้องขอความช่วยเหลือจากต่างชาติ โดยเฉพาะออกซิเจนสำหรับผู้ป่วยที่ตอนนี้กำลังขาดแคลนอย่างหนัก พร้อมเปิดเผยว่าปัญหาที่แท้จริงของเนปาลก็คือ ระบบสาธารณสุขที่มีศักยภาพไม่เพียงพอ
เมื่อวันอังคารที่ผ่าน จีนได้ส่งความช่วยเหลือล็อตแรกให้แก่เนปาลแล้ว โดยส่งออกซิเจน 400 ถัง เครื่องผลิตออกซิเจนกว่า 170 เครื่อง และเครื่องช่วยหายใจอีก 10 เครื่อง และสัญญาจะให้เพิ่มเติมมากกว่านี้ในอนาคตอันใกล้ และไม่เพียงแค่ประเทศที่มีพรมแดนติดกับอินเดียเท่านั้นที่ต้องเป็นกังวล แต่อันที่จริงท่ามกลางการระบาดเช่นนี้ ไวรัสสามารถเดินทางเล็ดรอดเข้าไปได้ทุกเมื่อ
ฟิลิปปินส์คือ ประเทศในภูมิภาคอาเซียนล่าสุดที่มีรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์อินเดีย B.1.617 แล้ว นับเป็นประเทศที่ 7 ในอาเซียน รายงานจากสำนักข่าว Channel News Asia อ้างอิงแถลงการณ์จากกระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์เมื่อวานนี้ว่า ฟิลิปปินส์พบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์อินเดีย B.1.6ปรย - 17 แล้วอย่างน้อย 2 ราย
ทั้งคู่เป็นชาวฟิลิปปินส์ที่ทำงานบนเรือ และเดินทางมาจากต่างประเทศ โดยหนึ่งคนมาจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ส่วนอีกคนมาจากโอมาน เพิ่งจะถึงฟิลิปปินส์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ ฟิลิปปินส์เข้มงวดกับผู้เดินทางเข้าประเทศ โดยเฉพาะห้ามเด็ดขาดสำหรับผู้ที่เดินทางจากประเทศเสี่ยงได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา และเนปาล ข่าวดังกล่าวจึงสร้างความตกใจไม่น้อย อย่างไรก็ตามทางกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ผู้ติดเชื้อทั้งสองคนถูกแยกตัวออกมาแล้ว
ก่อนหน้าพบผู้ติดเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์อินเดีย ฟิลิปปินส์เองมีการระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์อังกฤษและแอฟริกาใต้อยู่แล้ว นอกจากนั้นยังมีสายพันธุ์ P3 สายพันธุ์เฉพาะที่กลายพันธุ์ในฟิลิปปินส์
P3 หรือตัวกลายพันธุ์ในฟิลิปปินส์ เป็นไวรัสที่มีการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง E484K หรือการกลายพันธุ์บริเวณส่วนที่เรียกว่า โปรตีนหนาม แต่ยังไม่ชัดเจนว่าเจ้าตัวนี้มีประสิทธิภาพในการระบาดรุนแรงแบบไวรัสกลายพันธุ์ตัวอื่นๆ หรือไม่
นอกจากฟิลิปปินส์แล้ว ปัจจุบันในภูมิภาคอาเซียนที่พบเชื้อโควิดสายพันธุ์อินเดียได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซียและไทย แต่หากรวมทั้งโลกอนามัยโลกระบุว่ามีอย่างน้อย 44 ประเทศที่พบ
ในวันนี้วันที่ 12 พฤษภาคม ยังเป็นวันเริ่มบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ประเทศรอบใหม่ของมาเลเซีย ซึ่งนับเป็นการล็อกดาวน์รอบที่ 3 แล้ว ภายใต้คำสั่ง ประชาชนห้ามเดินทางข้ามรัฐ ห้ามรวมกลุ่ม โรงเรียนปิดทั่วประเทศ แต่บรรดาห้างร้านยังเปิดได้ ซึ่งข้อบังคับนี้จะใช้ไปอีกร่วมเดือนจนถึงวันที่ 7 มิถุนายน สาเหตุก็เพราะในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อในมาเลเซียกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง
ขณะนี้ยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันเฉลี่ย 7 วันที่ผ่านมาสูงถึง 3,900 ราย หรือสูงเกือบเท่ากับการระบาดระลอกสองเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ตอนนั้นมีผู้ติดเชื้อใหม่ถึง 4,00 รายต่อวัน จนรัฐบาลต้องประกาศล็อกดาวน์รอบสองและขณะนี้ประเด็นไวรัสกลายพันธุ์ในมาเลเซียก็สร้างความกังวลเช่นกัน ล่าสุดมาเลเซียพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์แอฟริกาใต้แล้ว 48 ราย, สายพันธุ์อังกฤษพบ 8 ราย ส่วนสายพันธุ์อินเดียพบ 1 ราย
ส่วนที่สิงคโปร์ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สิงคโปร์รายงานการพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 7 ราย ที่มีส่วนเกี่ยวโยงกับคลัสเตอร์การระบาดของโควิด-19 ที่ท่าอากาศยานชางงีของสิงคโปร์ โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้ง 7 มีทั้งคนที่ทำงานที่สนามบินและคนที่มีสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากสนามบินก่อนหน้านี้ ทำให้ตอนนี้คลัสเตอร์ที่สนามบินชางงีมีผู้ติดเชื้อสะสม 18 ราย ซึ่งทั้งหมดไม่มีประวัติเดินทางไปต่างประเทศ
ในจำนวนนี้ 6 ราย จาก 18 ราย คือผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ชนิดใหม่จากอินเดียหรือ B.1.617 และที่น่าสนใจก็คือ ผู้ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์จากอินเดีย 3 ราย คือคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบสองโดสแล้ว ซึ่งตอนนี้สิงคโปร์อนุมัติใช้วัคซีนของผู้ผลิตสองเจ้า ได้แก่ ไฟเซอร์ และโมเดอร์นา หมายความว่า ไวรัสกลายพันธุ์จากอินเดีย (B.1.617) อาจลดทอนประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ สิงคโปร์จัดการคลัสเตอร์การระบาดครั้งนี้อย่างไร
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หน่วยงานการบินพลเรือนของสิงคโปร์และท่าอากาศยานสิงคโปร์ชางงีประกาศว่าจะตรวจหาเชื้อเชิงรุกให้เจ้าหน้าที่สนามบินทั้งหมดราว 9,000 คน และสำหรับเจ้าหน้าที่ด่านหน้าของสนามบินที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วก็จะได้รับการตรวจหาเชื้อทุกๆ 14 วัน ซึ่งเป็นมาตรการที่เข้มงวดกว่าเดิม เพราะนโยบายก่อนหน้านี้ให้ตรวจทุกๆ 28 วัน