หน่วยงานด้านสุขภาพของชิลี ประกาศ ปิดกรุงซานติอาโก เมืองหลวง หลังมีรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่อีกครั้ง แม้ประชากรจะฉีดวัคซีนครบแล้วเกินครึ่งก็ตาม โดยผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 17% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และ 25% อยู่ในเมืองหลวงซานติอาโก คิดเป็นครึ่งหนึ่งของประชากรขอ ประเทศ
มีวัคซีนโควิด-19 ไม่เท่ากับ "รอด" บทเรียนพึงศึกษาจาก "ชิลี"
ส่อง "แคมเปญฉีดวัคซีนโควิดต่างประเทศ" บางประเทศกระจายล่าช้า คนไม่เชื่อมั่นรัฐบาล และขาดแคลนวัคซีน
Jose Luis Espinoza ประธานสหพันธ์พยาบาลแห่งชาติของชิลี (FENASENF) กล่าว 98% ของจำนวนห้องไอซียูในเมืองหลวงรับผู้ป่วยโควิด-19 อีกระลอก ซึ่งระบบสาธารณสุข "ใกล้จะล่มสลายอีกครั้ง"
กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า จากจำนวนผู้ติดเชื้อ 7,716 ราย 73% ยืนยันว่า ติดเชื้อโควิด-19 ระหว่างวันที่ 9-10 มิ.ย.ที่ผ่านมา และมีอายุต่ำกว่า 49 ปี
ชิลี ถือว่ามีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่สูงที่สุดในโลก ประมาณ 75% ของประชากรเป้าหมาย 15 ล้านคนได้รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งโดสแล้ว และเกือบ 58% ได้รับวัคซีนครบถ้วน 2 โดส แล้ว โดยปัจจุบันใช้วัคซีนไปแล้วเกือบ 23 ล้านโดส แบ่งเป็น
- 17.2 ล้านโดสของซิโนแวค
- 4.6 ล้านของ ของไฟเซอร์ ไบโอเอ็นเทค
- ราว 1 ล้านโดสของแอสตร้าเซเนก้า รวมถึง CanSino จากจีน
ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ระบุว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะวัคซีนโควิด-19 ไม่ได้ผล 100% ประกอบการประกาศล็อกดาวน์ที่ล่าช้าในช่วงที่มีการระบาดระลอกสอง และเริ่มมีสายพันธุ์ใหม่เข้ามา
ขณะที่ ISP หน่วยงานกำกับดูแลด้านสุขภาพของชิลี กล่าวว่า การติดเชื้อระหว่างเดือน ธ.ค.- มิ.ย. ยืนยันว่าเป็นสายพันธุ์บราซิล (P1) มากที่สุดในประเทศ และซึ่งติดต่อได้ถึงสองเท่าของสายพันธุ์เดิม
ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในซานติอาโก กล่าวว่า ผู้ป่วยประมาณ 10% แม้จะฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการปกป้องอาการเจ็บป่วยที่รุนแรง คนหลายแสนคนถูกส่งห้องไอซียู และระบบสาธารณสุขกำลังรับภาระหนักจนจะถึงขีดจำกัด
เรียบเรียงจาก รอยเตอร์
ภาพ : AFP