เมื่อวานนี้ (24 ก.ค.) กระทรวงสาธารณสุขมาเลเซียรายงานยอดผู้ติดเชื้อใหม่ 17,045 คน ทุบสถิติรายวันสูงสุด หลังจากยอดทะลุ 15,000 คน เมื่อวันศุกร์และเสาร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทะยานแตะ 1 ล้านคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้านนายกรัฐมนตรีมูห์ยิดดิน ยัสซิน เปิดเผยว่า รัฐบาลอาจผ่อนคลายมาตรการคุมโควิด-19 ให้กับประชาชนที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว อาทิ อนุญาตให้เข้าไปนั่งรับประทานอาหารในร้าน เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม รวมถึงอนุญาตให้เดินทางข้ามรัฐได้ สำหรับคนมีครอบครัวที่ทำงานไกลบ้าน
“โมเดอร์นา” เผย ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนโควิด-19 น่าจะอยู่ได้อย่างน้อย 1 ปี
มาเลเซีย ยอดติดโควิดพุ่ง ล็อกดาวน์ เอาไม่อยู่
เบื้องต้น รัฐบาลกำลังพิจารณาเพื่อสรุปรายละเอียดมาตรการทั้งหมด และจะประกาศอย่างเป็นทางการในเร็วๆนี้ โดยหวังว่าการผ่อนคลายมาตรการครั้งนี้จะช่วยให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้สะดวกยิ่งขึ้น
ปัจจุบัน มาเลเซียแจกจ่ายวัคซีนโควิดแล้วกว่า 16 ล้าน 5 แสนโดส คิดเป็นกว่า 11 ล้านคน หรือ 34.4% ที่ได้ฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว และ 16% ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม
เวียดนามล็อกดาวน์ฮานอย-ติดเชื้อเฉียด 8,000 คน เล็งได้วัคซีนเพิ่มจากสหรัฐฯ
ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขเวียดนามรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 7,968 คน เมื่อวานนี้ (24 ก.ค.) ทุบสถิติรายวันเป็นวันที่ 2 และเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าซึ่งยอดอยู่ที่ 7,307 คน
2 ใน 3 ของผู้ติดเชื้อใหม่ยังอยู่ในนครโฮจิมินห์ ส่งผลให้ทางการตัดสินใจขยายเวลาล็อกดาวน์ปิดเมืองออกไปจนถึงวันที่ 1 ส.ค.นี้ พร้อมทั้งสั่งล็อกดาวน์เพิ่มในกรุงฮานอย เมืองหลวงของประเทศ ห้ามประชาชนออกนอกบ้าน ห้ามรวมตัวในที่สาธารณะมากกว่า 2 คน และปิดระบบขนส่งสาธารณะ เป็นเวลา 15 วัน เริ่มมีผลตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่ารัฐบาลเวียดนามได้รับวัคซีนโมเดอร์นาอีก 3 ล้านโดสจากสหรัฐฯ ในวันนี้ (25 ก.ค.) ซึ่งเป็นการส่งมอบผ่านโครงการโคแวกซ์ ส่งผลให้จำนวนวัคซีนที่เวียดนามได้รับบริจาคจากรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มเป็น 5 ล้านโดส ซึ่งสหรัฐฯ เองกำลังพิจารณาบริจาควัคซีนเพิ่มเติมให้เวียดนามอีกเร็วๆนี้
นอกจากรับบริจาควัคซีนแล้ว เวียดนามยังอยู่ระหว่างเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อรับมอบเทคโนโลยีการผลิตวัคซีน mRNA ภายในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ไตรมาส 4 ของปีนี้ หรือช่วงต้นปีหน้า
ออสเตรเลียส่อขยายล็อกดาวน์ หวั่นม็อบเดือดทำโควิดพุ่ง
ส่วนที่ออสเตรเลีย เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา มีประชาชนหลายพันคนออกมาชุมนุมประท้วงตามท้องถนนในหลายเมืองใหญ่ โดยเฉพาะนครซิดนีย์ เพื่อแสดงจุดยืนเรียกร้องอิสรภาพ และต่อต้านการใช้มาตรการล็อกดาวน์คุมโควิด-19 ของทางการ
จากภาพจะเห็นว่าผู้ชุมนุมจำนวนมากไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย ขณะที่ผู้ชุมนุมบางส่วนเปิดฉากปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และถูกจับกุมตัวไป 57 คน
ขณะที่วันนี้ (25 ก.ค.) ทางการรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของนครซิดนีย์ รายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่ 141 คน ซึ่งเป็นสถิติรายวันที่สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของปี และยังมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 2 คน
มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์แสดงความไม่พอใจที่ประชาชนลงถนนประท้วง โดยเชื่อว่าเหตุประท้วงครั้งนี้อาจทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดย่ำแย่ลง และอาจทำให้รัฐนิวเซาท์เวลส์ต้องกลับไปตั้งต้นนับหนึ่งใหม่ เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอริสัน ที่แถลงตำหนิผู้ประท้วงว่าประมาท และเห็นแก่ตัว ด้วยการทำให้ตนเองและเจ้าหน้าที่ต้องเสี่ยง ในขณะที่ประชาชนคนอื่นๆ ยอมอยู่กับบ้าน เพื่อให้การระบาดลดลง
สถานการณ์ที่ฝรั่งเศส วุ่นวายไม่แพ้กัน หลังประชาชนกว่า 1 แสน 6 หมื่นคนออกมาชุมนุมประท้วงทั่วประเทศ เพื่อต่อต้านมาตรการคุมโควิด-19 ของรัฐ โดยเฉพาะการบังคับให้ประชาชนต้องแสดงใบรับรองการฉีดวัคซีน หรือผลการตรวจโควิด ก่อนเข้าใช้บริการร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ ซึ่งเข้าข่ายเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพ
มีรายงานว่าที่กรุงปารีส มีการเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือด สุดท้ายเจ้าหน้าที่ต้องใช้แก๊สน้ำตาเข้าควบคุมสถานการณ์
