สหรัฐฯ หวั่นผู้คนในกรุงคาบูล ตกเป็นเป้าก่อการร้าย “ISIS K”
ตาลีบันเผยสมาชิกเสียชีวิต 28 คน เหตุระเบิดสนามบินคาบูล
ภาพถ่ายดาวเทียมของสนามบินฮามิด คาไซ ในกรุงคาบูล สถานที่ที่ชาวอัฟกันจำนวนหลายหมื่นคนแห่กันไปรออพยพออกนอกประเทศ นับตั้งแต่ตาลีบันยึดเมืองหลวงได้
ย้อนไปเมื่อวานนี้ เวลาประมาณ 18.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ระเบิดลูกแรกปะทุขึ้นที่บริเวณโรงแรมบารอน ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากสนามบิน และโรงแรมนี้เป็นสถานที่ที่ทางการสหราชอาณาจักรใช้จัดการเอกสารต่าง ๆ ให้กับชาวอัฟกันที่ต้องการลี้ภัย
มีรายงานว่า หลังเกิดระเบิดขึ้น มือปืนติดอาวุธได้กราดยิงผู้คนด้วย จากนั้นไม่นานก็เกิดระเบิดลูกที่สอง ที่บริเวณ แอบบีเกด หรือประตูทางเข้าสนามบินที่ตั้งอยู่ใกล้กับประตูทางเข้าฝั่งตะวันออก
ซึ่งจุดนี้มีชาวอัฟกันจำนวนมากกำลังรอที่จะอพยพ พยานในเหตุการณ์เล่าว่า แรงระเบิดส่งร่างของผู้เคราะห์ร้ายหลายรายปลิวไปตกลงยังคูน้ำใกล้ ๆ ในขณะที่รายงานจากเจ้าหน้าที่ระบุว่า เห็นผู้ต้องสงสัยสวมเสื้อกั๊กติดระเบิด จึงคาดว่าระเบิดทั้งสองลุูกน่าจะเป็นระเบิดฆ่าตัวตาย
ยังไม่มีภาพเหตุการณ์ปรากฏ แต่ก่อนที่จะเกิดเหตุระเบิดขึ้น ฟุตเทจจากผู้สื่อข่าวของ LA Times เผยให้เห็นว่า ในวันนั้นบริเวณแอบบีเกต มี ชาวอัฟกันนั่ง ๆ นอน ๆ รอการอพยพอยู่อย่างหนาแน่น รวมไปถึงมีทหารต่างชาติคอยคุมพื้นที่
ส่วนนี่คือภาพความวุ่นวายหลังเกิดระเบิดขึ้น ภาพถ่ายจากคูน้ำใกล้ ๆ แอบบีเกต จะเห็นว่า มีร่างของชาวอัฟกันจำนวนมากถูกแรงระเบิดซัดกระเด็นมาตกยังคูแห่งนี้น้ำเปลี่ยนเป็นสีแดงจากเลือด เศษข้าวของ เสื้อผ้า และรองเท้ากระจัดกระจายเต็มไปหมด
จากนั้นกรุงคาบูลก็โกลาหลวุ่นวาย รถพยาบาลต้องเร่งส่งตัวผู้ได้รับบาดเจ็บที่มีจำนวนมากไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ ความเสียหายเบื้องต้น เหตุโจมตีส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเป็นชาวอัฟกัน 72 ราย เป็นทหารสหรัฐฯ อีก 13 นาย ส่วนจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บฝั่งทหารสหรัฐฯ มี 18 นาย ส่วนชาวอัฟกันที่ได้รับบาดเจ็บมีราว 140 ราย
ส่วนภาพนี้คือชาวอัฟกันที่มาระบุตัวผู้เสียชีวิตที่โรงพยาบาล เธอกำลังกอดศพที่เป็นสมาชิกในครอบครัวและร้องไห้ หลังเกิดเหตุ ทำเนียบขาวประกาศลดธงลงครึ่งเสา เพื่อไว้อาลัยให้แก่ผู้เสียชีวิต โดยระบุว่า บรรดาชายและหญิงที่เสียชีวิตไปนั้น พวกเขา เป็นฮีโร่ เพราะได้ช่วยอพยพผู้คนไปมากมาย มีรายละเอียดของผู้เสียชีวิตที่เป็นคนสหรัฐฯ โดย 11 คนเป็นทหารเรือ ส่วนอีก 1 คนเป็นแพทย์ สังกัดทหารเรือ ส่วนรายที่ 13 ยังระบุตัวตนไม่ได้ เหตุโจมตีล่าสุดนับว่าเป็นการเสียชีวิตของชาวอเมริกันมากที่สุดในอัฟกานิสถาน นับตั้งแต่เหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์สหรัฐฯ ถูกยิงตกในปี 2011 ซึ่งในตอนนั้นมีผู้เสียชีวิตรวม 30 ราย
“ไบเดน” ประกาศ ไม่ให้อภัยและจะตามล่าผู้ก่อเหตุ
โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกแถลงด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ โดยระบุว่า ใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีนี้ พวกเขาต้องรับผิดชอบ และสหรัฐฯ จะตามล่าให้คนเหล่านั้นรับโทษจากการกระทำอันเลวร้ายนี้
สหรัฐฯ แทบไม่ต้องตามสืบว่าเป็นใคร เพราะหลังเหตุการณ์ กลุ่ม ISIS-K หรือไอซิสโคซาน กลุ่มก่อการร้ายสาขาย่อยของไอซิสในอัฟกานิสถาน ออกมาประกาศผ่านสำนักข่าวอามักของตน ว่าพวกเขาอยู่เบื้องหลัง โดยระบุว่า ทำไปเพื่อตอบโต้ ที่ตาลีบันร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการอพยพสายลับที่ช่วยเหลือชาติตะวันตกออกจากประเทศ
ด้านฝั่งตาลีบันมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง
สำนักข่าว RT ของรัสเซียเผยว่า ก่อนเกิดระเบิด ซาบิฮุลเลาะห์ มูจาฮิด โฆษกกลุ่มตาลีบันได้ส่งคำเตือนมายังบรรดาชาติตะวันตก และนาโต้ แล้วว่า อาจเกิดเหตุก่อการร้ายขึ้นที่สนามบินฮามิด คาไซ และเป็นก่อการร้ายแบบมีเป้าหมายสุ่ม
สอดคล้องกับคำแถลงของสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ ที่ระบุเหตุผลว่า ที่ต้องเคารพเส้นตายวันที่ 31 สิงหาคมนี้ ในการถอนทหารทั้งหมด ส่วนหนึ่งคือเพื่อความปลอดภัย เพราะขณะนี้มีกลุ่มก่อการร้ายกลุมอื่นๆ เล็งเป้าการโตมตีมายังสนามบินฮามิด คาไซ
เหตุสะเทือนขวัญส่งผลให้บรรดาผู้นำโลกพากันออกมาประณามการการกระทำของ ISIS-K อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการแห่งสหประชาติระบุว่า ตัวเขาขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ต่อโศกนาฏกรรมดังกล่าว
อีกรายคือสกอตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ที่ออกมาระบุว่า ถือเป็นการกระทำที่ชั่วร้าย และไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่ง
หลายชาติถอนตัวจากอัฟกานิสถาน จากเหตุระเบิดสนามบิน
นอกเหนือจากคร่าชีวิตผู้คนแล้ว เหตุระเบิดล่าสุดยังส่งผลต่อการอพยพด้วย โดยทำให้บางชาติตัดสินใจถอนตัว ซึ่งหมายถึงโอกาสที่ชาวอัฟกันจะได้เดินทางออกนอกประเทศนั้นจะลดลงไปด้วย เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และแคนาดา ประกาศว่า จะไม่ดำเนินการอพยพคนอัฟกันอีกต่อไปในขณะที่ตุรกีประกาศถอนกำลังทหารออก หลังอยู่ควบคุมความปลอดภัยของสนามบินฮามิด คาไซ มานานถึง 6 ปี
เมื่อคืนที่ผ่านมาปรากฏภาพ เครื่องบินอพยพลำสุดท้ายของเยอรมนี โดยเป็นสายการบินแฟรงก์เฟิร์ต เดินทางถึงเยอรมนีแล้ว โดยระบุว่านับตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม เยอรมนีอพยพคนออกจากกรุงคาบูลไปแล้วรวม 5,300 ราย ในจำนวนนี้มีทั้งคนอัฟกันและคนเยอรมัน จากเดิมปฏิบัติการอพยพต้องดำเนินไปจนถึงวันที่ 31สิงหาคม แต่เยอรมนีระงับภารกิจ จากเหตุโจมตีล่าสุด
อย่างไรก็ตามยังคงเหลือ สหราชอาณาจักร กับสหรัฐฯ ที่ระบุว่า จะยังคงอพยพผู้คนตามแผนเดิมต่อไป โดยล่าสุด บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรระบุว่า เหตุโจมตีนั้นเกิดขึ้นอย่างป่าเถื่อนก็จริง แต่รัฐบาลของเขาจะยังคงมุ่งความสนใจไปที่การอพยพคนให้มากที่สุด
รัฐบาลสหราชอาณาจักรรายงาน ทุกวันนี้สหราชอาณาจักรอพยพคนออกจากอัฟกานิสถานได้ราววันละ 1,000 ราย นับตั้งแต่ตาลีบันยึดกรุงคาบูล อย่างไรก็ตามแม้จะยืนยันดำเนินการตามแผนเดิม แต่มีข้อกำหนดใหม่เพิ่มขึ้นมาเพื่อความปลอดภัย คือกำหนดให้เครื่องบินที่ไปรับคนออกจากกรุงคาบูล หลีกเลี่ยงการบินต่ำกว่า 25,000 ฟุต เพื่อลดความเสี่ยงจากการโจมตีไบเดนยืนยันถอนทหารตามเส้นตายเดิม แม้เผชิญเหตุโจมตี
“ไบเดน” ยืนยันถอนทหารตามเส้นตายเดิม แม้เผชิญเหตุโจมตี
ด้านสหรัฐอเมริกาที่ยังคงยืนยันถอนทหารตามเส้นตายเดิม แม้จะมีเหตุโจมตีล่าสุดความคืบหน้าเรื่องภารกิจอพยพเป็นอย่างไร รายงานล่าสุดเปิดเผยว่า ตั้งแต่สหรัฐฯ เริ่มภารกิจเมื่อวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา สหรัฐฯ อพยพชาวอเมริกันออกนอกประเทศได้ทั้งหมดราว 4,700 คน โดยรายงานได้คาดการณ์ว่า ตอนนี้ยังเหลือชาวอเมริกันอีกประมาณ 150 คนที่ตกค้างอยู่ในสนามบินคาบูล และทางสหรัฐฯ ต้องเร่งอพยพคนกลุ่มนี้ออกจากอัฟกานิสถาน
นอกจากนั้น เมื่อวันพุธที่ผ่านมา แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังเหลือชาวอเมริกันในอัฟกานิสถานอีกประมาณ 1,000 คนที่อาจต้องการความช่วยเหลือเพื่ออพยพออกนอกประเทศ โดยทางการสหรัฐฯ กำลังเร่งติดต่อคนกลุ่มนี้เพื่อมอบความช่วยเหลือเรื่องอพยพ
สหรัฐฯ ไม่เพียงแต่อพยพลเมืองของตัวเอง แต่ยังอพยพชาวอัฟกันที่เคยช่วยงานสหรัฐฯ ด้วย รายงานล่าสุดจาก The New York Times เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา สหรัฐฯ อพยพผู้คนออกมาจากอัฟกานิสถานแล้ว ประมาณ 82,300 คน ในจำนวนนี้เป็นชาวอเมริกันราว 4,700 คน ส่วนที่เหลือเป็นชาวอัฟกันและผู้ถือสัญชาติอื่น ๆ แต่คาดการณ์ว่า ยังเหลือชาวอัฟกันที่เคยทำงานให้สหรัฐฯ อีกอย่างน้อย 250,000 คนที่มีสิทธิได้รับวีซ่าอเมริกันแบบเร่งด่วน แต่ยังไม่ได้อพยพออกมาถือเป็นจำนวนที่มาเมื่อเทียบกับเวลาที่เหลือ 5 วันก่อนถึงเส้นตาย ซึ่งคาดว่า 5 วันสุดท้าย สหรัฐฯ จะสามารถอพยพคนออกมาได้เต็มที่อีก 100,000 คนเท่านั้น
ด้าน เจน ซากี โฆษกทำเนียบขาวเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่สหรัฐฯ จะอพยพชาวอัฟกันทุกคนที่ต้องการอพยพออกจากอัฟกานิสถานได้ทันก่อนเส้นตายวันที่ 31 สิงหาคมนี้ เพราะผู้ที่ต้องการอพยพออกนอกประเทศจริง ๆ นั้น หากรวมทั้งหมดมีหลายล้านคน