ปะทะเดือด! เหตุประท้วงครั้งใหญ่ทั่วยุโรป ค้านล็อกดาวน์ป้องกันโควิด-19


โดย PPTV Online

เผยแพร่




สถานการณ์โควิด-19 ในยุโรปทำให้บางประเทศล็อกดาวน์หรือจำกัดสิทธิผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีน สร้างความไม่พอใจจนเกิดการประท้วง

หลังจากที่ก่อนหน้านี้องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาประกาศเตือนว่า ทวีปยุโรปกำลังจะกลับมาเป็นศูนย์กลางการระบาดของโรคโควิด-19 อีกครั้ง สถานการณ์ล่าสุดของหลายประเทศในภูมิภาคดังกล่าวก็ถือว่าเข้าขั้นวิกฤต มีหลายประเทศที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อทุบสถิติสูงสุดนับตั้งแต่มีการระบาด

สถานการณ์ที่มีแนวโน้มเลวร้ายลงทำให้หลายประเทศประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ หรือจำกัดสิทธิบางอย่างของประชากรกลุ่มที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อพยายามควบคุมสถานการณ์ ทำให้ประชาชนเกิดความไม่พอใจ และประท้วงคัดค้านการล็อกดาวน์และจำกัดสิทธิ

"ออสเตรีย" หวนล็อกดาวน์คุมโควิด-19 ระบาด

เยอรมนีล็อกดาวน์คนไม่ฉีดวัคซีน ด้วยมาตรการ 2G

กลยุทธ์ใหม่กลุ่มต้านวัคซีนโควิด-19 ในออสเตรเลีย พยายามปลอมสถานะการฉีดวัคซีน

เบลเยียม

ผู้คนหลายหมื่นคนออกมาเดินขบวนในกรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียม เพื่อประท้วงต่อต้านมาตรการป้องกันโควิด-19 โดยผู้ประท้วงบางคนขว้างยิงพลุดอกไม้ไฟใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งตอบโต้ด้วยการใช้แก๊สน้ำตาและปืนฉีดน้ำ

สาเหตุของความไม่พอใจเกิดขึ้นเนื่องจากผู้ประท้วงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ “บัตรผ่านโควิดโควิด-19” ซึ่งจะออกให้กับผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 หากใครไม่มี ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสถานที่ต่าง ๆ เช่น ร้านอาหาร หรือบาร์ ในเบลเยียม

นอกจากนี้ กฎเกี่ยวกับหน้ากากอนามัยมีความเข้มงวดมากขึ้น รวมถึงในสถานที่ต่างๆ เช่น ร้านอาหารที่ต้องผ่านโควิด และชาวเบลเยียมส่วนใหญ่ยังต้องทำงานจากที่บ้าน 4 วันต่อสัปดาห์จนถึงกลางเดือน ธ.ค. นอกจากนี้ยังมีแผนบังคับฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ทำให้เกิดความตึงเครียดในหมู่ประชาชน

เมื่อวันที่ 15 พ.ย. ที่ผ่านมา เบลเยียมพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่อยู่ที่ 27,762 ราย ซึ่งทุบสถิติ 21,048 รายของเมื่อปลายเดือน ต.ค. 2020

เนเธอร์แลนด์

เนเธอร์แลนด์ประกาศล็อกดาวน์บางส่วนเป็นเวลา 3 สัปดาห์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากมีสถิติผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ บาร์และร้านอาหารต้องปิดให้บริการเวลา 20:00 น. และห้ามประชาชนชนเข้าชมการแข่งขันกีฬา

มาตรการล็อกดาวน์บางส่วนครั้งใหม่ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชน โดยเมื่อวันศุกร์ (19 พ.ย.) มีการประท้วงในร็อตเตอร์ดัม เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีผู้ประท้วงถูกจับกุม 51 ราย โดยมีรายงานว่าตำรวจใช้กระสุนจริงยิงเตือนและยิงใส่ผู้ประท้วง

โฆษกตำรวจอธิบายสาเหตุการใช้กระสุนจริงว่า “เนื่องจากสถานการณ์เป็นอันตรายถึงชีวิต” มีผู้ชุมนุมอย่างน้อย 3 คนกำลังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากบาดแผลที่เกิดจากกระสุนปืน

ต่อมาในวันเสาร์ (20 พ.ย.) เหตุประท้วงลุกลามไปในหลายเมืองทั่วเนเธอร์แลนด์ ผู้คนขว้างยิงพลุดอกไม้ไฟใส่ตำรวจ มีการขว้างปาก้อนหินไปทางหน้าต่างรถพยาบาลที่มีผู้ป่วย และมีผู้ประท้วงปิดบังใบหน้ารายหนึ่งจุดไฟเผาจักรยานในกรุงเฮก ขณะที่ตำรวจปราบจลาจลใช้ม้า สุนัข และกระบองเพื่อขับไล่ฝูงชนออกไป

สถานการณ์ที่ดูรุนแรง ทำให้เจ้าหน้าที่ประกาศคำสั่งภาวะฉุกเฉินในเมืองเฮก และมีผู้ถูกจับกุมอย่างน้อย 19 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองเฮกยังทวีตรายงานว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 นายได้รับบาดเจ็บ โดยนายหนึ่งถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด้วยอาการบาดเจ็บที่เข่า

ก่อนหน้านี้เนเธอร์แลนด์เคยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในวันเดียวสูงสุดเพียง 11,000 รายเมื่อช่วงกลางเดือน ก.ค. ปีนี้ แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 พ.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ถึง 23,591 ราย

ออสเตรีย

ประชาชนราว 40.000 คนออกมาประท้วงในกรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย หลังจากที่รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ครั้งใหม่ และมีแผนที่จะบังคับใช้กฎหมายบังคับในเดือน ก.พ. 2022 ซึ่งจะเป็นประเทศแรกในยุโรปที่กำหนดให้การฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นข้อบังคับทางกฎหมาย

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของภาครัฐทำให้กลุ่มผู้ประท้วงออกมาโบกธงและป้ายที่เขียนว่า “เสรีภาพ” ผู้ประท้วงตะโกนต่อต้านการบีบบังคับ และโห่ไล่ตำรวจ มีรายงานว่าตำรวจบ้างรายถูกฉีดด้วยของเหลวที่ยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร และผู้ประท้วงพยายามรบกวนเฮลิคอปเตอร์ด้วยการยิงแสงเลเซอร์

ออสเตรียเดิมจะล็อกดาวน์เฉพาะผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนโควิด-19 แต่ล่าสุดจะเข้าสู่การล็อกดาวน์ทั่วประเทศเป็นเวลา 20 วัน ตั้งแต่วันจันทร์ (22 พ.ย.) โดยจะปิดร้านค้าและธุรกิจหรือบริการต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นทั้งหมด และสั่งให้คนทำงานจากที่บ้าน

เมื่อเดือน พ.ย. 2020 ออสเตรียพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในวันเดียวสูงสุด 9,500 ราย แต่เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงถึง 15,809 ราย

โครเอเชีย

เมื่อวันเสาร์ (20 พ.ย.) มีประชาชนราว 15,000 คนออกมาเดินประท้วงในเมืองหลวงซาเกร็บ เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อการบังคับฉีดวัคซีนโควิด-19 และมาตรการจำกัดสิทธิผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนโควิด-19

โดยรัฐบาลโครเอเชียได้บังคับใช้มาตรการใหม่ ตั้งแต่วันจันทร์ (22 พ.ย.) เป็นต้นไป เฉพาะผู้ที่มีโควิดพาสปอร์ตเท่านั้น ที่จะสามารถเดินทางไปยังอาคารของรัฐบาลและอาคารสาธารณะต่าง ๆ ในโครเอเชียได้

ฝรั่งเศส

ที่ฝรั่งเศสเกิดการประท้วงบนเกาะกวาเดอลูปในแคริบเบียน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฝรั่งเศส เกิดการจลาจลในชั่วข้ามคืน มีการปล้นสะดมปล้นร้านค้าหลายสิบร้าน จากการประท้วงต่อต้านการบังคับใช้ใบรับรองฉีดวัคซีนโควิด-19 ในฝรั่งเศสกลายเป็นความรุนแรง

รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศสกล่าวว่า บางคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบนั้นใช้ “กระสุนจริง” ในการต่อต้านการบังคับใช้กฎหมาย และสัญญาว่าจะตอบสนองอย่างหนักแน่นต่อผู้ที่ก่อความไม่สงบในที่สาธารณะ

อิตาลี

ขณะที่ในอิตาลี ผู้ประท้วงราว 3,000 คนรวมตัวกันที่สนามแข่งรถม้าอัรเก่าแก่ในกรุงโรม เซอร์คัสแม็กซิมัส เพื่อคัดค้านการบังคับใช้ใบรับรอง “กรีนพาส” ในสถานที่ทำงาน บริการต่าง ๆ และบนระบบขนส่งสาธารณะ

เดนมาร์ก

เดนมาร์กมีผู้ประท้วงประมาณ 1,000 คนออกมาต่อต้านแผนการของรัฐบาลที่จะฟื้นฟูมาตรการที่กำหนดให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐต้องได้รับการฉีดวัคซีนถึงจะกลับมาทำงานในออฟฟิศได้

นอกจากนี้ยังเริ่มเกิดกระแสการประท้วงในสวิตเซอร์แลนด์ จนเกิดความหวั่นเกรงว่า กระแสการประท้วงต่อต้านมาตรการป้องกันโควิด-19 ของรัฐบาลต่าง ๆ จะแพร่กระจายลุกลามและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

แอนเดรีย แอมมอน ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งยุโรป (ECDC) ให้ความเห็นว่า การบังคับฉีดวัคซีนโควิด-19 และมาตรการบังคับที่เข้มงวดอื่น ๆ ถือเป็น “ดาบสองคม”

เธอบอกว่า กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดอาจทำให้ผู้ที่ก่อนหน้านี้เพียงแค่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับวัคซีน แต่ไม่ได้ปฏิเสธอย่างสมบูรณ์ ตัดสินใจหันมาต่อต้านวัคซีนโควิด-19 โดยสิ้นเชิง

ด้าน ดร.ฮานส์ คลูเกอ ผู้อำนวยการ WHO ประจำภูมิภาคยุโรป บอกว่า หากประเทศทั่วยุโรปไม่มีมาตรการเข้มงวด ภายในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า จะมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 อีก “ครึ่งล้าน”

เขาเสริมว่า “โควิด-19 กลายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในภูมิภาคของเราอีกครั้ง” และเขายืนยันว่า “เรารู้ดีว่าต้องทำอะไรเพื่อต่อสู้กับไวรัส” เช่น การรับวัคซีน สวมหน้ากาก และการใช้บัตรผ่านหรือใบรับรองต่าง ๆ

รัฐบาลหลายแห่งทั่วยุโรปกำลังบังคับใช้ข้อจำกัดใหม่ ๆ ข้างต้นเพื่อพยายามรับมือกับอัตราการติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้น หลายประเทศเริ่มรายงานจำนวนผู้ป่วยรายวันที่สูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งก็ต้องแลกมากับการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน จนน่าเป็นห่วงว่า เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร

 

เรียบเรียงจาก BBC / CNN / The Guardian

ภาพจาก AFP

TOP ต่างประเทศ
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ