ภายหลังมีการประกาศยึดอำนาาจของนายพล มิน อ่อง หล่าย มาจาก นางอองซาน ซูจี พรรคเอ็นแอลดี เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 โดยเฉพาะตัวของนางอองซาน ซูจี เองถูกตั้งข้อหาอาญาทั้งสิ้น 11 ข้อหา เช่น
ศาลเมียนมา ตัดสินจำคุก “ซูจี” 4 ปี ก่อนพล.อ.มิน อ่องหล่าย อภัยโทษให้เหลือ 2 ปี
ผู้นำรัฐประหารเมียนมา "พล.อ.มิน อ่อง หล่าย" สหายทหารไทย ลูกบุญธรรม "พล.อ.เปรม" ย้อนความผูกพัน "ป๋า"
- การละเมิดข้อจำกัดการควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนาระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2563 ซึ่งอาจถูกจำคุกนาน 3 ปี
- ครอบครองวิทยุสื่อสารโดยไม่มีใบอนุญาต ซึ่งหากถูกตัดสินว่าผิด อาจถูกจำคุกนาน 3 ปี และปรับ
นอกจากนี้ ยังมีข้อหา สร้างความวุ่นวายในที่สาธารณะอาจทำให้เธอถูกจำคุก 2 ปี และข้อหาทำลายเกียรติภูมิของกองทัพ
ส่วนข้อหาที่รุนแรงที่สุดคือ ละเมิดรัฐบัญญัติความลับทางการของเมียนมา (Official Secrets Act) ซึ่งมีบทลงโทษจำคุก 14 ปี
รวมถึงคดีคอร์รัปชันอีกเป็นจำนวนมาก เช่น กล่าวหาว่าเธอรับเงิน 18.5 ล้านบาทและทองคำ 11 กิโลกรัม อย่างผิดกฎหมาย ซึ่งอาจได้รับโทษจำคุกนาน 15 หากศาลตัดสินว่าผิดในข้อหานี้
คำพิพากษาล่าสุด จำคุก 4 ปี ก่อนลดเหลือ 2 ปี
อย่างไรก็ตาม จากข้อหาที่กล่าวมา เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.64 ศาลเมียนมามีคำสั่งพิพากษาให้นางอองซาน ซูจี ถูกจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ฐานยุยงปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบในประเทศ และละเมิดข้อกำหนดการควบคุมโรคโควิด-19
ก่อนที่ สถานีโทรทัศน์ของทางการเมียนมารายงานว่า พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ได้ลดโทษให้นางอองซาน ซูจี เหลือจำคุก 2 ปี ฐานยุยงปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบในประเทศ และละเมิดข้อกำหนดการควบคุมโรคโควิด-19
ภายหลังตำพิพากษาออกมา นางอองซาน ซูจี ไม่ได้ถูกควบคุมตัวไปยังเรือนจำ แต่ยังคงถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านพัก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่มีการ พิจารณาคดี นางอองซาน ซูจี ปรากฏตัวต่อศาลผ่านวิดีโอลิงก์ทุกครั้ง และการสื่อสารผ่านทนายความเป็นหลัก
“ประชาธิปไตยถอยหลัง” ทั่วโลกร่วมประณาม ทหารยึดอำนาจในเมียนมา
อดีตสมาชิกพรรคของ อองซาน ซูจี ถูกตัดสินโทษจำคุกเกือบร้อยปี