สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานโดยอ้างคำพูดของ อเล็กซ์ ซิกัล (Alex Sigal) หัวหน้าห้องปฏิบัติการประจำสถาบันวิจัยสุขภาพแอฟริกา ในประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งดูแลการวิเคราะห์ตัวอย่างเลือด ของผู้ที่ฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 เพื่อศึกษาว่าร่างกายมนุษย์ต้องมีสารภูมิคุ้มกัน หรือ แอนติบอดี สูงแค่ไหนจึงจะป้องกันสายพันธุ์โอมิครอนได้
ซิกัล และ ทีมงาน ระบุว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน มีความสามารถสูงในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันที่ได้จากการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อก่อนหน้านี้ แต่ไม่สามารถหลบหลีกได้ทั้งหมด
แอฟริกาใต้-โมเดอร์นา-ไฟเซอร์ เริ่มทดสอบวัคซีนที่มีอยู่กับ “โอไมครอน”
"อนุทิน" ยืนยันไม่ล็อกดาวน์ เชื่ออาจเจอ “โอมิครอน” อีก
ขณะเดียวกันยังพบว่าสายพันธุ์โอมิครอนสามารถหลบหลีก วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัทไฟเซอร์และบริษัทไบออนเทค ได้ดีกว่าสายพันธุ์อื่นๆ แต่การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ยังสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นี้ได้
ขณะที่ เมื่อวันจันทร์นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดเผยผลการศึกษาการฉีดวัคซีนโควิด-19 สูตรไขว้ในกลุ่มตัวอย่าง 1,070 คน พบว่า ผู้ที่ฉีดแอสตร้าเซนเนก้าหรือไฟเซอร์เข็มแรก ตามด้วยโมเดอร์นาหรือโนวาแวกซ์หลังจากนั้น 9 สัปดาห์ ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการฉีดวัคซีนชนิดเดิม
โดยการฉีดแอสตร้าเซนเนก้าเข็มแรก แล้วตามด้วยโมเดอร์นาหรือโนวาแวกซ์เป็นเข็มที่สอง สามารถเพิ่มระดับแอนติบอดีและทีเซลล์ หรือหน่วยความจำภูมิคุ้มกัน ได้สูงกว่าการฉีดแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม
เช่นเดียวกับการฉีดไฟเซอร์ตามด้วยโมเดอร์นา ระดับภูมิคุ้มกันจะเพิ่มสูงกว่าเมื่อเทียบกับการฉีดไฟเซอร์ 2 เข็ม
ผลการศึกษาซึ่งสนับสนุนแนวทางการฉีดวัคซีนแบบยืดหยุ่นนี้เป็นความหวังสำหรับประเทศรายได้น้อยและรายได้ปานกลางที่อาจต้องฉีดวัคซีนเข็มแรกและเข็มที่สองต่างยี่ห้อกันในกรณีที่เกิดการขาดแคลน