เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. มีการเสนอรายงานฉบับใหม่ต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) ซึ่งมีเนื้อความระบุว่า “ธนาคารไทยได้กลายเป็นผู้ให้บริการทางการเงินระหว่างประเทศแก่รัฐบาลทหารของเมียนมา ในการจัดสินค้าและยุทโธปกรณ์เพื่อทำสงครามกับกองกำลังต่อต้านและกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ”
รายงานดังกล่าวเป็นของ ทอม แอนดรูว์ส ผู้รายงานพิเศษขององค์การสหประชาชาติ ใช้ชื่อว่า “การธนาคารกับการค้าความตาย: วิธีที่ธนาคารและรัฐบาลเอื้อความช่วยเหลือรัฐบาลทหารเมียนมา”
รายงานของแอนดรูว์สทำการศึกษาว่า รัฐบาลทหารเมียนมาสามารถจัดหาอาวุธได้อย่างไรทั้งที่แหล่งจัดหาน่าจะถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และรัฐอื่น ๆ ไปหมดแล้ว
เขาพบว่า เมียนมาเปลี่ยนซัพพลายเออร์ด้านบริการทางการเงินและยุทโธปกรณ์ทางทหารมาเป็นบริษัทต่าง ๆ ใน “ประเทศไทย” แทน หลังบริษัทในสิงคโปร์ถอนความร่วมมือกับรัฐบาลทหาร
รายงานดังกล่าวระบุว่า “รัฐบาลทหารยังคงมีส่วนร่วมกับเครือข่ายธนาคารระหว่างประเทศที่กว้างขวาง เพื่อรักษาตัวเองและการจัดหาอาวุธ”
รายงานเสริมว่า “ในปี 2023 ที่ผ่านมา ธนาคาร 16 แห่งใน 7 ประเทศได้ดำเนินธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างทางทหารของรัฐบาลทหารเมียนมา และมมีธนาคาร 25 แห่งที่ให้บริการธนาคารตัวแทนแก่ธนาคารของรัฐในเมียนมานับตั้งแต่รัฐประหาร”
แอนดรูว์สบอกว่า “ข่าวดีก็คือว่า รัฐบาลทหารถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น การจัดซื้ออาวุธและยุทโธปกรณ์ทางทหารประจำปีของกองทัพเมียนมาผ่านระบบธนาคารอย่างเป็นทางการลดลง 1 ใน 3 จากปีการเงินที่สิ้นสุดในเดือน มี.ค. 2023 ถึงปีถัดมา จาก 377 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เกือบ 1.4 หมื่นล้านบาท) เหลือ 253 ล้านดอลลารสหรัฐ (ราว 9.3 พันล้านบาท)”
เขาเสริมว่า “ข่าวร้ายก็คือ รัฐบาลทหารกำลังหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตรและมาตรการอื่น ๆ โดยการใช้ประโยชน์จากช่องว่างในระบบการคว่ำบาตร ด้วยการย้ายสถาบันการเงิน และใช้ประโยชน์จากความล้มเหลวของประเทศสมาชิกสหประชาชาติในการประสานงานและบังคับใช้มาตรการอย่างเต็มที่”
รายงานฉบับอื่นก่อนหน้านี้ของแอนดรูว์สเคยระบุไว้ว่า องค์กรในสิงคโปร์กลายเป็นแหล่งจัดหายุทโธปกรณ์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของรัฐบาลเผด็จการทหาร แม้ว่าจะมีนโยบายระดับชาติที่ชัดเจนว่าต่อต้านการถ่ายโอนอาวุธไปยังเมียนมาก็ตาม
หลังจากนำเสนอรายงานดังกล่าวและข้อค้นพบที่รัฐบาลสิงคโปร์สอบสวนเอง พบว่า “การเอื้ออำนวยหรือจัดหาอาวุธและวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องไปยังเมียนมาจากบริษัทจดทะเบียนในสิงคโปร์ลดลงเกือบ 90%”
รายงานระบุว่า ในขณะที่ธนาคารในสิงคโปร์อำนวยความสะดวกมากกว่า 70% ของการจัดซื้ออาวุธของรัฐบาลทหารที่ผ่านระบบธนาคารอย่างเป็นทางการในปีงบประมาณ 2022 “เปอร์เซ็นต์นั้นลดลงเหลือต่ำกว่า 20% ภายในปีงบประมาณ 2023”
แต่การส่งออกจากหน่วยงานที่จดทะเบียนในประเทศไทย “เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า – จากเพียงมากกว่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.2 พันล้านบาท) เป็นมากกว่า 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.4 พันล้านบาท) ในช่วงปีงบประมาณ 2022 ถึงปีงบประมาณ 2023
“การจัดซื้อยุทโธปกรณ์จำนวนมากของรัฐบาลทหารเมียนมาก่อนหน้านี้จากหน่วยงานในสิงคโปร์ รวมถึงชิ้นส่วนสำหรับเฮลิคอปเตอร์ Mi-17 และ Mi-35 ที่ใช้ในการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายพลเรือน ขณะนี้มีแหล่งที่มาจากประเทศไทยแทน” เอกสารระบุ
รายงานบอกว่า ธนาคารไทยมีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจระหว่างประเทศแก่กองทัพเมียนมา โดยอ้างถึงตัวอย่างของธนาคารแห่งหนึ่งที่ได้ทำธุรกรรมมากกว่า 5 ล้านดอลลาร์ (ราว 184 ล้านบาท) ในธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างทางทหารของเมียนมในปีงบประมาณ 2022 ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เกือบ 3.7 พันล้านบาท) ในปีงบประมาณ 2023 โดยทางธนาคารปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นต่อรายงานนี้
แอนดรูว์สบอกว่า “ด้วยการพึ่งพาสถาบันการเงินที่เต็มใจทำธุรกิจกับธนาคารของรัฐเมียนมาภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหาร รัฐบาลทหารจึงมีความพร้อมในการเข้าถึงบริการทางการเงินที่จำเป็นในการดำเนินการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ รวมถึงการโจมตีทางอากาศต่อพลเรือน”
เขาเสริมว่า “ธนาคารระหว่างประเทศที่อำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมซึ่งรวมถึงธนาคารของรัฐเมียนมา มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นการเอื้ออำนวยให้เกิดการโจมตีทางทหารต่อพลเรือนชาวเมียนมา ผมขอเรียกร้องให้พวกเขาหยุดทำเช่นนั้น ธนาคารมีพันธกรณีขั้นพื้นฐานที่จะไม่เอื้อให้เกิดอาชญากรรม ซึ่งรวมถึงอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติด้วย”
เรียบเรียงจาก Associated Press
มติก.ตร. 12 ต่อ 0 ให้ “บิ๊กโจ๊ก” ออกจากราชการไว้ก่อน ถูกต้องแล้ว