“เรื่องข่าว เรื่องใหญ่” ที่ PPTV กับ เสถียร วิริยะพรรณพงศา


เผยแพร่




“ผมอยากให้ข่าว PPTV เป็นเหมือนอาหารเสริม หรือวัคซีน ที่ดูแล้วได้ภูมิคุ้มกัน รู้เท่าทันโลก เท่าทันสังคม”

เจาะ “โควิดเดลตา (อินเดีย) พลัส” พบครั้งแรกในอินเดีย

“หมอนิธิพัฒน์” ห่วงโควิดระลอกสี่ หลังนายกฯ จ่อเปิดประเทศใน 120 วัน สวนทางติดเชื้อพุ่ง

ในขณะที่หลายคนตั้งคำถามว่าทำไมต้องดูข่าว หรือการดูข่าวทุกวันนี้ให้อะไรกับคุณ การนำเสนอข่าวนั้นสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมได้จริงหรือ หรือว่าเป็นการสร้างกระแสอะไรบางอย่างที่เคลือบแฝงไปด้วยผลประโยชน์ทางธุรกิจในท้ายที่สุด คำถามเหล่านี้เกิดขึ้นยุคแล้วยุคเล่า ทั้งในวันที่สื่อสิ่งพิมพ์ยังทรงอิทธิพล จวบจนปัจจุบัน เมื่อเทคโนโลยีได้เร่งเร้าให้ข้อมูลข่าวสารเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ในปริมาณที่มาก บนหลากหลายช่องทาง บทบาทของผู้คัดกรอง หรือ Gatekeeper ของกองบรรณาธิการข่าวของแต่ละสำนักก็ต้องทำงานหนักขึ้น ช่องโหว่ของการนำเสนอข้อเท็จจริงมีให้เห็นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจากข่าวปลอมบ้าง หรือข่าวที่มีความจริงเพียงส่วนหนึ่ง ความเห็นส่วนหนึ่งบ้าง การทำหน้าที่ของคนทำงานข่าวจึงเต็มไปด้วยความท้าทาย และจำเป็นต้องทบทวนกับตัวเองอยู่บ่อยครั้งถึงจุดยืนและเป้าหมายของการรายงานข่าวในแต่ละวัน

ในวันนี้ ทีมข่าว PPTV ยังคงเคี่ยวกรำในกระบวนการการผลิตผลงานข่าวให้ผู้ชมได้รับข่าวสารที่ถูกต้อง แม่นยำ โดยมีหัวหอกสำคัญในการขับเคลื่อน คือ เสถียร วิริยะพรรณพงศา ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายข่าว สถานีโทรทัศน์พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 นั่นเอง

“เสถียร” เป็นชื่อที่คุ้นหูสำหรับแฟนประจำรายการ “เข้มข่าวค่ำ” ทาง PPTV ซึ่งนอกจากความรับผิดชอบในการนำทัพกองบรรณาธิการข่าวของสถานี ฯ แล้ว เขายังทำหน้าที่ผู้ประกาศข่าว ทุกวันจันทร์ ถึงศุกร์ อีกด้วย ในวัย 42 ปี “เสถียร” ยอมรับว่างานข่าวในปัจจุบันนั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่เขาก็พร้อมที่จะนำทีมลุยไปบนสังเวียนการนำเสนอข่าวในวันที่ดุลยภาพระหว่างอุดมการกับธุรกิจยังจำเป็นต้องอยู่ด้วยกันให้ได้      

วันนี้ เรามารู้จักตัวตนของ “คนข่าว” คนนี้กันมากขึ้น ตั้งแต่วันแรกของการเข้าสู่วงการข่าว ไปจนถึงความภาคภูมิใจในอาชีพของผู้ชายคนนี้กัน

เส้นทางการเป็นนักข่าว

“ผมเรียนจบปริญญาตรี จากคณะรัฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง และปริญญาโท จากคณะภาษาและการสื่อสาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ครับ

จุดเริ่มต้นของความใฝ่ฝันอยากเป็นนักข่าวของผม เริ่มต้นตั้งแต่สมัยยังเรียนหนังสือ ตอนนั้นผมเป็นนักกิจกรรม ตั้งแต่มัธยม เป็นประธานสี ประธานเชียร์ ชอบทำทุกอย่างที่อยู่นอกห้องเรียน พอถึงมหาวิทยาลัยนี่ยิ่งหนักเลย เรียกว่าบ้ากิจกรรมเลยก็ได้ หนังสือหนังหาแทบไม่ได้เรียนเลยช่วงนั้น ได้ออกค่ายอาสา จัดเวทีเสวนา ขึ้นเวทีปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์สังคม ทำให้เป็นช่วงที่ได้รู้จักสังคม และรู้จักตัวเองมากที่สุด และเริ่มรู้สึกว่าชอบการอ่าน การเขียน ผมเป็นบรรณาธิการหนังสือรับน้องของมหาวิทยาลัยตั้งแต่อยู่ปี 2 ชอบอ่านหนังสือ อ่านทุกอย่างที่ไม่ใช่หนังสือเรียน (หัวเราะ) โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ชอบอ่านเป็นพิเศษ ไม่รู้ทำไม จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ตั้งแต่ 8-9 ขวบ ผมชอบนั่งดูข่าวกับพ่อ ผมจำได้หมดว่านักการเมืองคนนั้น คนนี้ชื่ออะไร เป็นเด็กที่แปลกมาก การ์ตูนไม่ดู ชอบนั่งดูข่าว สิ่งเหล่านี้แหล่ะ มันคงหล่อหลอมผมมาจนทำให้สนุกกับการติดตามข่าวสารบ้านเมือง”

จุดเริ่มต้น “นักข่าวภาคสนาม” 

“ผมเริ่มต้นอาชีพนักข่าวตั้งแต่ปี 2547 ที่จริงแล้วผมอยากเป็นนักข่าวการศึกษา เพราะเชื่อมาตลอดว่าการศึกษาจะเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางที่ดีขึ้น สมัยเด็ก ๆ เปิดหนังสือพิมพ์มาต้องเปิดหน้าการศึกษาก่อน ดูว่าเขามีนวัตกรรมอะไรใหม่ ๆ มีงานวิจัยอะไรดี ๆ  ไปสมัครงานหนังสือพิมพ์แนวหน้า ก็บอกเขาว่าอยากทำข่าวการศึกษาครับ ตอนนั้น บก. บอกว่าเข้าใจนะว่าชอบ แต่ตอนนี้ทำเนียบขาดคน ไปอยู่ทำเนียบก่อน ถ้ามีคนมาอยู่ทำเนียบแล้วค่อยไปทำ ผมก็เลยต้องไปอยู่ทำเนียบ ไปตามนายกฯ แล้วตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงวันนี้ เกือบ 20 ปี ยังไม่ได้กลับไปทำข่าวการศึกษาเลย (หัวเราะ) แต่การมาอยู่ทำเนียบฯก็เป็นโชคดีอีกอย่างหนึ่ง เพราะได้เจอนักข่าวเก่ง ๆ หลายคน คือทำเนียบรัฐบาลนี่เป็นสุดยอดของข่าวการเมือง และมันเป็นสนามข่าวที่รวมบรรดาจอมยุทธจากทุกสำนักข่าวไปรวมกันอยู่ตรงนั้น  ผมก็เลยเป็นเด็กมาก ๆ ที่หลงเข้าไปอยู่ในยุทธภพ เข้าไปแรก ๆ ก็กลัวนะ  เพราะเราไม่รู้จักใคร และทำเนียบนี่มันมีข่าวตลอดเวลา คนนั้นคนนี้มาพบนายกฯ บางทีมันเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราไม่รู้จักก็ตกข่าวทันที สนามข่าวทำเนียบ ก็เลยฝึกให้เราตื่นตัวตลอดเวลา หูไว ตาไว แล้วก็ติดมาจนถึงทุกวัน เห็นอะไรผิดปกติ ผิดสังเกตก็ตั้งคำถามและหาคำตอบ ต่อมาพอเริ่มมีประสบการณ์มากขึ้น เริ่มกล้าถามนายกฯ เริ่มมั่นใจ มันก็เริ่มสนุก  แต่เวลานั่งรถเมล์ผ่านกระทรวงศึกษาธิการ ก็แอบนึกถึงตลอดว่าอยากเข้าไปทำข่าวในนั้น เมื่อไหร่ บก.จะส่งไปตามสัญญาซักที”

“ทำงานเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ ได้  1 ปีเต็ม ก็มีคนชวนให้ไปอยู่เครือเนชั่น แล้วก็มาทำงานอย่างบ้าคลั่งที่นี่  ตั้งแต่เขียนข่าวหนังสือพิมพ์ ส่งข่าววิทยุ โฟนอินรายการทีวี เขียนคอลัมน์หนังสือพิมพ์ นิตยสาร เรียกว่าทำงานทั้งวันทั้งคืน มีอะไรให้ทำทำหมด วันหนึ่งผู้ใหญ่ก็คงเห็นว่าทำงานอย่างบ้าดีเดือด ก็เรียกไปถามว่าอยากทำทีวีหรือเปล่า อยากมาอ่านข่าวมั้ย ตอนนั้นก็แอบดีใจ นึกว่ามีแวว ความจริงไม่ใช่ มารู้ทีหลังว่าผู้ประกาศเบอร์ใหญ่ ๆ เขาไม่มาอ่านเสาร์อาทิตย์ ก็เลยขาดคน ทีนี้ด้วยความคึกคะนอง เราก็ตอบตกลง จึงได้มาเริ่มทำเสาร์อาทิตย์ ตอนแรกคิดว่าง่าย ก็แค่เอาข่าวที่เราทำเองมาเล่า ทำไมจะทำไม่ได้ ที่ไหนได้พอมาทำจริง ๆ มันไม่ใช่แค่มีข่าวแล้วก็รายงานไป แต่มันคือศาสตร์อีกแขนงหนึ่ง คือการจัดรายการยังไงให้คนดูสนุก มันยากตรงนี้  พอเริ่มทำไปเรื่อย ๆ ความมั่นใจก็เริ่มน้อยลง ความหยิ่งผยองก็เริ่มน้อยลง ๆ แล้วก็เริ่มคิดว่าไปทำข่าวภาคสนามอย่างเดียวดีอยู่แล้ว จะหาเรื่องใส่ตัวทำไม ดีที่ผู้ใหญ่อย่างคุณสุทธิชัย ให้กำลังใจตลอดว่าคุณไม่ต้องห่วงนะ คนดูสนใจที่คอนเทนต์ คุณไปทำข่าวมาเอง คุณมีข้อมูลคุณจะกลัวอะไร    ก็ทำให้เริ่มมั่นใจขึ้น  วันนี้กลับได้มาทำงานกับคุณสุทธิชัยอีกครั้งที่ PPTV ผมก็อยากจะขอบคุณกำลังใจที่หยิบยื่นให้กับเด็กที่กำลังจมน้ำตายหน้าจอทีวีในวันนั้น”

จัดรายการทีวี แล้วก็ยังเป็นนักข่าวภาคสนาม

“ประมาณปี พ.ศ. 2548-2549 จะเป็นช่วงพีค ๆ ของชีวิตนักข่าวภาคสนามมากเพราะการเมืองมันแรงมาก เริ่มตั้งแต่ม็อบเสื้อเหลือง หลังจากนั้นท้องถนนก็ไม่เคยว่างเว้นจากผู้ชุมนุม ผมก็ปักหลักทำข่าวในพื้นที่ชุมนุม แบบกินนอนบนถนน เช่าโรงแรมนอนข้าง ๆ ม็อบ แล้วเป็นการทำงานที่ไม่มีเวลาเลิกงาน นอนๆอยู่ได้ยินเสียงระเบิดลง ก็ต้องลุกไปทำข่าว กลางดึกกลางดื่น ตอนนั้นบ้านช่องไม่ได้กลับ ทำข่าวตลอด 24 ชั่วโมง เวลาเขาสลายการชุมนุม ผมก็อยู่ จนประกาศเขตใช้กระสุนจริง ผมก็ไม่กลับ หัวหน้าเห็น อ้าวเถียรยังส่งข่าวอยู่เลย โทรมาบังคับให้ออกจากพื้นที่ ผมก็ไม่ยอมออก แกก็บอก ถ้าไม่ออก ก็จะไล่ออก ก็เลยต้องออก ตอนนั้นโกรธมาก เหมือนทหารถูกบังคับให้ทิ้งปืนแล้วเดินออกจากสนามรบ ทั้ง ๆ ที่เขายังรบกันอยู่ มันปวดใจมาก  แต่พอออกมาได้ไม่นาน เสียงกระสุนปืนดังไล่หลัง ปังๆๆๆ ทีนี้วิ่งเลย ไม่ต้องให้ใครมาบอก พอกลับถึงบ้านโทรไปขอบคุณหัวหน้าที่สั่งให้ออกมา ไม่งั้นอาจจะไม่มีชีวิตรอดมาถึงวันนี้”

“อาจเป็นเพราะอยู่กับข่าวการชุมนุม อยู่กับความขัดแย้งทางการเมืองนาน วันนี้ถามว่าเลือกข้างฝ่ายไหนมั้ย บอกเลยว่าพอเห็นมาเยอะ เห็นในทุกมุมมอง ขอทำหน้าที่นักข่าว คือคนบันทึกเหตุการณ์ดีกว่า การเป็นคนบันทึกเหตุการณ์มันเลือกข้างไม่ได้ ถ้ามันมีอคติขึ้นมาข่าวเราจะไม่ตรงไปตรงมา คนดูจะรู้สึกทันทีว่าเราชอบคนนี้ ไม่ชอบคนนั้น ซึ่งมันทำให้ข่าวมันไม่น่าเชื่อถือ”

ทีมข่าว PPTV ในสถานการณ์โควิด

“ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 การทำงานข่าวมีการเปลี่ยนแปลงที่เยอะมาก ในฐานะบรรณาธิการบริหาร นอกจากรับผิดชอบข่าวแล้วยังต้องดูแลความปลอดภัยของทีมงานทุกคน ในฝ่ายข่าวมีคนเกือบ 200 คน ถ้าเกิดใครไปทำข่าวแล้วติดโควิด แล้วมาระบาดในสถานีฯ ไปติดพ่อแม่พี่น้อง ก็จะเป็นปัญหาใหญ่

ผมก็เลยมีนโยบายว่าถ้าพื้นที่ไหนที่ระบาดหนัก ๆ ไม่ค่อยอยากให้ไปทำข่าว แต่ด้วยความเป็นนักข่าว อันนี้ผมเข้าใจเด็ก ๆ ภาคสนาม เพราะเคยผ่านมาก่อน เด็ก ๆ อยากจะลงสนาม ยิ่งเสี่ยงยิ่งอยากลง มันเป็นความกระหายในการทำข่าว ผมก็เลยบอกงั้นเอางี้ ถ้าเป็นพื้นที่ระบาดหนัก ๆ แล้วอยากไปข่าว งั้นไปได้ แต่ห้ามลงจากรถ ลดกระจกลงก็ไม่ได้นะ เพื่อความปลอดภัยของทุกคน

นักข่าว PPTV ก็มีความสู้ชีวิตมาก บก.ไม่ให้ลงจากรถ ก็ดั้นด้นไปกัน เด็ก ๆ ก็ถ่ายภาพจากในรถ เวลาสัมภาษณ์ก็ใช้โทรศัพท์คุย แล้วถ่ายภาพแหล่งข่าวจากในรถ เอาไมค์จ่อที่โทรศัพท์ เท่ากับว่าสามารถทำได้จริง ได้ทั้งภาพ ทั้งเสียง โดยที่ไม่ต้องลงจากรถ ผมก็ทึ่งมากกับความพยายามของเด็ก ๆ แต่สิ่งที่มากกว่านั้นคือเราได้มุมภาพที่แปลกใหม่มาก พอถ่ายจากในรถ รถค่อย ๆ เคลื่อนไป แล้วค่อย ๆ ถ่ายสองข้างทาง ให้ความรู้สึกเหมือนคนนอกที่เข้าไปในพื้นที่โรคระบาด ค่อย ๆ ส่องซ้ายทีขวาที มันเรียลมาก ผมก็เลยรู้สึกว่าแม้ในยามวิกฤตที่มีข้อจำกัดในทำงานนานัปการ เราก็ยังผลิตข่าวได้ และออกมาได้ดี โดยที่นักข่าวเราก็ปลอดภัย ผมก็ถือว่าสถานการณ์ที่บีบคั้น มันก็ทำให้เราต้องพลิกแพลงกลยุทธ์ในการรบ เราถึงเรียกทีมข่าว PPTV ว่ากลุ่ม “นักรบกองโจร” คือทำการรบได้ทุกสนาม โดยใช้อาวุธที่ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ อันนี้ต้องให้เครดิต  “สถาพร พงศ์พิพัฒน์วัฒนา” อดีตบก.PPTV เขาเป็นคนตั้งชื่อนี้ ซึ่งผมคิดว่ามันตรงมาก เราก็เรียกกันมาจนถึงวันนี้”

บทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชน กับคำว่า “เรื่องข่าว เรื่องใหญ่”

 “เราให้ความสำคัญกับข่าวมาก เราลงทุนกับการทำข่าวทั้งในและต่างประเทศ เรายังมีทีมที่ทำข่าวเจาะ ทีมทำสารคดีข่าว “สารตั้งต้น” ซึ่งเป็นการถ่ายทอดเบื้องหลังข่าวสำคัญ ๆ ซึ่งงานพวกนี้ลงทุนสูงมาก แต่เมื่อทำออกมาแล้วมันมีคุณค่า ตอบคำถามสำคัญ ๆ ในสังคม จึงเป็นที่มาของคอนเซ็ปต์งานข่าว “เรื่องข่าว เรื่องใหญ่” ของเรา

สิ่งที่ PPTV พยายามมาโดยตลอดคือ ทำอย่างไรให้ข่าวของเราสามารถดูได้ทุกคน เราพยายามควบคุมเนื้อหาข่าวให้เป็นมิตรต่อทุก ๆ วัย สามารถดูด้วยกันได้หมด ไม่ใช่เปิดทีวีมามีแต่ข่าวฆ่ากันตาย พ่อข่มขืนลูก น้องฆ่าพี่ วัยรุ่นไล่ตีกัน เราไม่อยากให้เปิดข่าวมาปุ๊ป พ่อต้องปิดตาลูก เพราะภาพในข่าวมันโหดร้าย มันรุนแรง ต้องรีบเปลี่ยนช่อง ข่าว PPTV เป็นเหมือนอาหารเสริม หรือวัคซีน ที่ดูแล้วได้ภูมิคุ้มกัน รู้เท่าทันโลก เท่าทันสังคม ไม่ใช่ยาพิษ หรือของมึนเมา ที่กล่อมให้เรางมงายอยู่กับผีสางนางไม้ อภินิหารร่างทรง เราต้องการให้ข่าว PPTV เป็นเสมือนเพื่อนของท่าน นั่งกินข้าวด้วยกันแล้ว เปิดทีวีทิ้งไว้ เหมือนมีคนมานั่งเล่าให้ฟังว่าวันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ๆ ประเทศเราเป็นแบบนี้ รอบโลกเราเป็นแบบนี้นะ เด็ก ๆ จะได้รู้ว่าในแต่ละวันมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง เพื่อเป็นข้อมูลเอาไปใช้ชีวิต  

เราถึงมีรายการอย่าง “รอบโลก เดลี่” โดย คุณกรุณา บัวคำศรี หรือรายการ “กาแฟดำ” และช่วงวิเคราะห์ข่าว “มองข้ามช็อต” กับคุณสุทธิชัย หยุ่น ซึ่งล้วนเป็นเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ น่าเชื่อถือ เป็นหลักให้สังคม ในยามที่ข้อมูลข่าวสารมันท่วมท้น การแยกแยะข่าวจริงข่าวปลอม ข่าวปั่น มันยากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นงานหนักของกองบรรณาธิการข่าว PPTV ที่ต้องคัดกรองเนื้อหา ตรวจสอบข่าวสารอย่างละเอียดทุกข่าว ทุกตัวอักษร ก่อนจะออกอากาศ มันเป็นเรื่องยาก แต่ก็เป็นภารกิจที่พวกเราภูมิใจ”

ฝากแฟน ๆ ติดตามรายการข่าวของพีพีทีวี

“ผมมั่นใจว่าถ้าเป็นแฟนข่าวของ PPTV มาระดับหนึ่งแล้ว จะเข้าใจในความตั้งใจของเรา หรือหากเป็นแฟนข่าวใหม่ ผมก็อยากให้มั่นใจว่า ข่าวของ PPTV จะเป็นข่าวที่สร้างสรรค์ เป็นข่าวที่รับผิดชอบต่อสังคม  สำหรับใครที่ยังไม่เคยชม ก็อยากจะให้ลองทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่คนนี้ และเมื่อเราเป็นเพื่อนกันแล้ว เพื่อนคนนี้จะบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศ รอบโลก วิเคราะห์เรื่องราวในอนาคต ให้ได้ฟังตั้งแต่เช้าตื่นมา ยันค่ำมืดก่อนนอน ทุก ๆ แพลตฟอร์ม ไม่ว่าท่านจะเปิดทีวี ท่านไปดูมือถือ ไอแพด ก็จะได้เจอกัน ขอให้มั่นใจว่าเพื่อนคนนี้จะทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เป็นเพื่อนที่จริงใจของท่านตลอดไป”

ทวิตเตอร์ @satien_pptv

 

 

TOP ประชาสัมพันธ์
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ