เมื่อวันที่ (20 มี.ค. 62) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้ง 1.46 ล้านราย ที่ลงทะเบียนในเขตกรุงเทพมหานครฯ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนครปฐม จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดสมุทรสาคร โดยมีวงเงินในบัตรฯ เพื่อใช้บริการขนส่งสาธารณะ เดือนละ 500 บาท สามารถนำบัตรฯ ไปซื้อบัตรโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส ผ่านเครื่อง EDC ของธนาคารกรุงไทย ณ ห้องจำหน่ายบัตรโดยสารฯ บนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสทุกสถานี จำนวน 43 สถานี เริ่มให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2562 ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางให้แก่ผู้ถือบัตรฯ อีกช่องทางหนึ่ง นอกเหนือจากการใช้บัตรฯ ชำระค่าโดยสารรถเมล์ (ขสมก.) และรถไฟฟ้า (รฟม.) ทั้งสายสีม่วงและสีน้ำเงิน ที่ได้ให้บริการมาก่อนแล้ว
โดยในการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อการเดินทาง นั้น ผู้ถือบัตรฯ ที่ได้รับบัตรแมงมุม และบัตร Contactless จะได้รับวงเงินค่าโดยสารรถเมล์ ขสมก. , รถไฟฟ้า MRT,รถไฟฟ้าบีทีเอส จำนวนเงิน 500 บาท/คน/เดือน จะมีการใช้จ่ายหรือไม่ จำนวนเท่าใดก็ตาม ทุกสิ้นเดือนจะตัดวงเงินที่เหลือ และใส่วงเงินให้ใหม่ จำนวน 500 บาท ทุกเดือน
ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้เป็นต้นไป กรุงเทพมหานครมีกำหนดจะเปลี่ยนแปลงอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส ในช่วงส่วนต่อขยายสายแบริ่ง-สมุทรปราการ จากเดิมที่เก็บแบบเหมาจ่าย 15 บาท จากอ่อนนุช-สมุทรปราการ เป็นเก็บตามระยะทาง จากอ่อนนุช-สมุทรปราการ ในอัตรา 15-21 บาท ทำให้ค่าโดยสารรวมของรถไฟฟ้าเส้นทาง ดังกล่าวมีอัตราสูงสุดเท่ากับ 65 บาท (จากหมอชิต-อ่อนนุช เริ่มต้นที่ 16-44 บาท และจากอ่อนนุช-สมุทรปราการ ที่เริ่มต้น 15-21 บาท)
นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยอมรับว่า อัตราดังกล่าวเหมือนเป็นการเก็บค่าเข้าระบบ เนื่องจากสายสีเขียวขณะนี้เหมือนเป็นคนละเส้นทาง คือ 1.เส้นทางที่บีทีเอสเป็นผู้รับสัมปทาน 23 สถานี และ 2.เส้นทางส่วนต่อขยายที่ กทม.จ้างเดินรถ โดย กทม.เป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารเอง ช่วง อ่อนนุช-แบริ่ง, ช่วงตากสิน-วงเวียนใหญ่-บางหว้า และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ (เคหะฯ) และสายสีเขียวเหนือ ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บค่าโดยสารจะนำมาใช้ในการจัดการเดินรถ ซึ่งมีต้นทุนค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีนโยบายที่ต้องการส่งเสริมให้ประชาชนเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน และโดยสารในราคาไม่สูงเกินไป จึงกำหนดให้จัดเก็บไม่เกิน 65 บาทตลอดสาย