เมื่อวันที่ (2 เม.ย. 62) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสูตรแรก สูตรไม่รวมพรรคเล็ก 11 พรรค หรือสูตรที่พรรคอนาคตใหม่กับเพื่อไทยออกมายืนยันเมื่อวาน สูตรนี้จะคิดด้วยการนำคะแนนดิบของพรรคมาหารด้วยคะแนน ส.ส.พึงมี คือ 71,065 คะแนน ซึ่งพรรคไหนที่ได้คะแนนไม่ถึง 1 หรือมีคะแนนดิบของพรรคไม่ถึง 71,065 คะแนนให้ตัดออกไปทันที สูตรนี้จะทำให้พรรคใหญ่ได้จำนวน ส.ส.พึงมีในสภามากกว่า ยกตัวอย่างเช่น พรรคอนาคตใหม่ จะได้ 87 ที่นั่ง พรรคพลังประชารัฐได้ 118 ที่นั่ง และพรรคประชาธิปัตย์ได้ 54 ที่นั่ง ซึ่งรวมๆ 7 พรรคที่ไม่สนับสนุน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้ที่นั่งรวม 253 ที่นั่ง จาก 500 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร
แต่ถ้าเป็นอีกสูตรหนึ่งคือสูตรที่เฉลี่ยคะแนนให้กับพรรคเล็กที่ได้คะแนนไม่ถึงคะแนน ส.ส.พึงมี 71,065 ด้วย โดยการนำคะแนนของทุกพรรคมาเทียบบัญญัติไตรยางค์ ปรากฏว่าสูตรนี้จะทำให้พรรคใหญ่ได้ที่นั่ง ส.ส.ลดลง ยกเว้นเพื่อไทย ที่ได้เฉพาะ ส.ส.เขต ไม่ได้ ส.สบัญชีรายชื่อแต่แรก ยกตัวอย่างเช่น พรรคอนาคตใหม่ ลดลงไป 7 ที่นั่ง เหลือ 80 ที่นั่ง พรรคพลังประชารัฐลดลงไป 2 ที่นั่ง เหลือ 116 ที่นั่ง และพรรคประชาธิปัตย์ ลดลงไป 2 ที่นั่ง เหลือ 52 ที่นั่ง และแน่นอนว่าจำนวนที่นั่งที่หายไป ก็จะถูกนำไปเฉลี่ยให้กับพรรคเล็กอีก 11 พรรค ซึ่งสูตรนี้จะทำให้จำนวนที่นั่ง 7 พรรคที่ไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ลดลงเหลือ 246 ที่นั่ง ไม่ใช่เสียงข้างมากในสภาเหมือนสูตรแรก
นายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป หนึ่งใน 11 พรรคเล็กที่จะได้ที่นั่งหากคำนวนตามสูตรหลังนี้ ยืนยันกับทีมข่าวพีพีทีวี โดยการยกเอกสารวิธีการคำนวนจำนวน ส.ส. ตามมาตรา 91 ของรัฐธรรมนูญ และมาตรา 128 และ 129 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ที่เผยแพร่โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ว่าต้องคำนวนโดยการเฉลี่ยให้กับพรรคเล็กด้วย
โดยกรณีที่พรรคอนาคตใหม่และพรรคเพื่อไทยออกมาให้ความเห็นว่าต้องใช้คนละสูตรคำนวน นายไพบูลย์มองว่าเป็นเพียงความเห็นที่จะทำให้พรรคฝ่ายตัวเองได้ประโยชน์เท่านั้น ซึ่งท้ายที่สุดก็อยู่ที่ กกต.จะรับรองผลอย่างไรในวันที่ 9 พฤษภาคม
ส่วนกรณีที่พรรคอนาคตใหม่ให้ความเห็นว่า หากใช้สูตรรวมพรรคเล็ก ถือว่าไม่ยุติธรรม เพราะพรรคใหญ่ต้องมีคะแนนถึง 7 หมื่นคะแนนจึงจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 ที่นั่ง แต่พรรคเล็กไม่ต้องมีคะแนนถึง 7 หมื่น ก็ได้ ส.ส.1 ที่นั่งเท่ากัน นายไพบูลย์มองว่าไม่เห็นด้วย โดยยกตัวอย่างพรรคเพื่อไทย หากหารเฉลี่ยจำนวน ส.ส.ที่ได้กับคะแนนดิบ ก็พบว่าคะแนนเฉลี่ยต่อส.ส. 1 คนก็เหลือเพียง 5 หมื่นกว่าคะแนน ขณะเดียวกันพรรคอนาคตใหม่บางเขตก็ชนะเพียง 2-3 หมื่นคะแนนเท่านั้น ดังนั้นจะดูแค่จำนวนคะแนนไม่ได้
นายไพบูลย์ยังระบุอีกว่า หากหลังจากนี้ กกต.รับรอง ส.ส.ที่คำนวนจากสูตรนี้ เชื่อว่า ส.ส.พรรคเล็กทั้ง11 คน คงไม่มีใครไปร่วมกับฝ่ายที่ไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ เพราะเป็นฝ่ายที่มาประกาศสกัดขาพรรคเล็กอยู่ตอนนี้ และเชื่อว่าหากถึงเวลานั้นพรรคฝ่ายที่ไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จะเป็นฝ่ายแพ้ ทำให้สมาชิกบางคนแปรพรรคมาสนับสนุนฝ่ายพลเอกประยุทธ์ด้วย