ทั้งนี้ จุดติดตั้งสิ่งปลูกสร้างกลางทะเลที่อยู่ห่างจากชายฝั่ง 14 ไมล์ทะเล ซึ่งตามกฎหมายแล้วถ้าอยู่ห่างจากฝั่งเกิน 12 ไมล์ทะเล ถือว่าอยู่นอกราชอาณาจักรไทย
ในช่วงแรกของการติดตามคดีนี้ มีข้อถกเถียงว่าไทยมีสิทธิ์ดำเนินคดีกับเจ้าของสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวได้หรือไม่ แต่ล่าสุดอัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ยืนยันว่า สามารถทำได้เพราะกรณีนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ โดยทุกหน่วยงานสามารถดำเนินคดีได้ไม่ต่างจากคดีที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทย
สำหรับการแบ่งอาณาเขตทางทะเล เมื่อออกจากฝั่งไป 12 ไมล์ทะเล คือ “ทะเลอาณาเขต” ซึ่งกฎหมายไทยครอบคลุมสามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดได้และถัดจากนั้นถือว่าเป็นน่านน้ำสากล แต่ช่วงระหว่าง 13-24 ไมล์ทะเลเรียกว่า “เขตต่อเนื่อง”
บ.ผลิตบ้านลอยน้ำ ระงับโครงการบ้านกลางทะเล ชี้ 2 สามีภรรยา แค่ต้องการอิสระ
พบอู่ต่อเรือสร้างบ้านกลางทะเล อ้างรับทำแค่ไฟเบอร์กลาส ปัดรู้เห็นด้วย
ส่วน 25-200 ไมล์ทะเล เรียกว่า “เขตเศรษฐกิจจำเพาะ” ซึ่งตามปกติมีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 เป็นกฎหมายบังคับใช้ // ส่วนพื้นที่ห่างจากฝั่งมากกว่า 200 ไมล์ทะเล เรียกว่า “ทะเลหลวง”
ทั้งนี้เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาราชกิจจานุเบกษาเพิ่งประกาศบังคับใช้พระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล โดยภารกิจสำคัญของกฎหมายนี้ คือ เพื่อรักษาอธิปไตยและความั่นคงของชาติ ซึ่งสอดคล้องกับมาตรา 7 ของประมวลกฎหมายอาญา ที่ระบุว่าเรื่องที่เกิดนอกราชอาณาจักร หากเป็นประเด็นที่มีผลต่อความมั่นคงของประเทศ ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษในราชอาณาจักร
ซึ่งกรณีสิ่งปลูกสร้างกลางทะเลขณะนี้อยู่ระหว่างรอกรมเจ้าท่าออกคำสั่งทางปกครอง เพื่อให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวต่อเนื่อง