คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องความนิยมของกาแฟยี่ห้อ “สตาร์บัคส์” อันมีสัญลักษณ์เป็นนางเงือกสีเขียว กับอีกเกือบ 40,000 สาขาทั่วโลก โดยเข้ามาเมืองไทยสาขาแรกคือที่เซนทรัลชิดลม เมื่อ 21 ปีก่อน (ปี 1998) ด้วยราคากาแฟเริ่มต้นแก้วละร้อยกว่าบาท แต่ถ้าเพิ่มสูตรนู้นนี่นั่น เผลอๆมีพุ่งไป 200 กว่าบาท
“แต่มาถึงวันนี้กาแฟที่แพงกว่าข้าวราดแกงในไทยมีสาขาแล้วประมาณ 372 สาขา มูลค่าทางธุรกิจที่คาดการณ์อยู่ราวๆ 15,000 ล้านบาท” เพราะอะไรทำไมสตาร์บัคส์ถึงกระจายไปทั่วโลก
ราคาแรงแต่ก็มีสูตรลับ เกือบ 100,000 เมนู
สตาร์บัคส์ชูความเป็นพรีเมี่ยมของเมล็ดกาแฟที่นำมาคั่วให้กับลูกค้าซึ่งก็มาพร้อมๆ กับ ราคาที่ถือว่าสูง เมื่อเทียบกับรายได้ขั้นต่ำของคนไทย 300 บาท แต่ยังไม่สุดเพราะมันคือ "ราคาเริ่มต้น" ต้องบอกก่อนว่า สตาร์บัคส์มีขนาดของเครื่องดื่ม 4 ขนาด คือ Tall (เล็กสุด) / Grande (กลาง) และ Venti (ใหญ่สุด) ด้วยปริมาณ 8 ออนซ์ 12 ออนซ์ 16 ออนซ์ และ 20 ออนซ์ ยกเว้น เอสเปรสโซ่ที่เป็นแก้วชอตเล็ก อยู่ที่ 95 บาท แต่ไม่ใช่ทุกคนจะดื่มเพราะเป็นกาแฟที่เข้มที่สุด ดังนั้น กาแฟพื้นฐานอย่าง อเมริกาโน่ร้อน ขนาด Tall ก็อยู่ที่ 110 บาท และราคาจะไต่ระดับขึ้นตามชนิดของเครื่องดื่มซึ่งมีทั้ง ชาเขียว กาแฟสารพัดสูตร ประกอบกับขนาด รวมถึงการเพิ่มฟังก์ชัน เช่น วิปครีม ไซรัป เจลลี่ ชอต กาแฟ เป็นต้น ซึ่งบางครั้งพุ่งไปถึง 200+ ต่อแก้ว
แต่ความพิเศษอยู่ที่ “สตาร์บัคส์มีจุดเด่นคือตามใจลูกค้า” เลยมักจะมีสูตรลับสูตรเด็ดออกมาตลอดเวลา ซึ่งคือการที่ลูกค้าสามารถคิดค้นเมนูขึ้นมาเองได้ แล้วบาริสต้า ก็จะทำให้ตามสั่ง อย่างที่เคยโด่งดังในเมืองไทยคือ Extra Green Tea Frappuccino with Java Chip ราคา 250 บาท ในขนาด Grande “
อย่างไรก็ตาม เคยมีข้อมูล จากเว็บไซต์ womansday บอกไว้ว่า สตาร์บัคส์มีเมนูที่เคยเป็นสูตรลับมาแล้วถึง 87,000 เมนู ในเมืองไทย เช่น Cotton Candy Frappuccino / Extra Green Tea Frappuccino with Java Chip / Double Layers เป็นต้น
“บ้านหลังที่ 3” คือกลยุทธ์สำคัญของสตาร์บัคส์
ต่อให้ราคาจะแรง แต่เกือบทุกสาขาของสตาร์บัคส์โต๊ะแทบไม่เคยว่าง ก็เพราะ กลยุทธ์เด็ดคือ การเป็นบ้านหลังที่ 3 วางตำแหน่งร้านตัวเองให้เป็นจุดตรงกลางระหว่าง บ้าน กับ ออฟฟิศ ซึ่งกลยุทธ์นี้ก็นำมาใช้กับประเทศไทยด้วย ทั้งการตั้งทำเลที่ให้ความรู้สึกว่าเดินออกจากบ้านก็เจอหรือเดินจากออฟฟิศก็เจอ การตกแต่งร้านที่ผ่อนคลายเหมือนอยู่บ้าน นั่งได้ยาวๆ ไม่ไล่ลูกค้า ชาร์ตแบตเตอรี่ได้ทุกโต๊ะ มีเทคโนโลยีด้านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เหมือนทำงานในออฟฟิศ หรือถ้าเริ่มเห็นมากขึ้นคือสถานที่แวะพักระหว่างการเดินทาง
ตั้งบริษัทลูกร่วมทุนใหญ่ “ฮ่องกง”
ทำให้การขยายธุรกิจของสตาร์บัคส์ตลอดจนการให้ไลเซ่นเริ่มเห็นมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ การเข้ามาบริหารงานของไทยเบฟ ตามรายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ระบุว่า ไทยเบฟตั้งบริษัท Coffee Concepts Thailand ขึ้น เพื่อร่วมทุนกับ Maxim’s Caterers ของฮ่องกง ซึ่งเป็นผู้ถือสิทธิ์บริหารร้านสตาร์บัคส์ในหลายประเทศ ทั้งกัมพูชา เวียดนาม สิงคโปร์ ฮ่องกงและมาเก๋า รวมกว่า 400 สาขา ซึ่งในรายงานบอกด้วยว่า เบื้องหลังดีลนี้ น่าจะเป็นเพราะร้านกาแฟพยายามลดภาระของ “เควิน จอห์นสัน” ซีอีโอคนปัจจุบัน เพื่อโฟกัสกับธุรกิจในจีนซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญและมีการแข่งขันสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเมื่อปีก่อนได้ให้ไลเซ่นกับบริษัทอื่นทั้งในฝรั่งเศสและประเทศในยุโรปมาแล้ว
“เงือกเขียว”เตรียมพร้อมบุกแดน “มังกร”
นอกจากในเอชียแล้ว จีน คือตลาดสำคัญที่สตาร์บัคส์พุ่งเป้ามากที่สุด จากข้อมูลของเว็บไซต์ The Startup พบว่า สตาร์บัคส์มีเป้าหมายที่ 6,000 แห่งภายใน 5 ปี พร้อมกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า (บทความนี้เขียนขึ้นเมื่อ เดือนมกราคม 2562) แต่เมื่อดูตัวเลขการขยายสาขาในปี 2561 มีสาขาเปิดใหม่ 585 สาขาใน 7 เมืองของจีน ไตรมาส 4 ไตรมาสเดียวอยู่ที่ 139 สาขา ใน 5 เมือง
โฮวาร์ด ชูลทส์ อดีต CEO ของสตาร์บัคส์ เคยบอกกับสำนักข่าว CNBC ว่า “เขาจะไม่แปลกใจเลยถ้าวันหนึ่งจะมีสาขาใหม่ของ สตาร์บัคส์เกิดขึ้นในจีนมากกว่าสหรัฐฯ”
“สตาร์บัคส์” เปิดร้านหรูสาขาใหญ่ที่สุดในโลก ที่เซี่ยงไฮ้
ก่อนปิดท้ายบทความก็อยากเปิด"ความลับเล็กๆ" ของสตาร์บัคส์ที่หลายคนอาจไม่ค่อยรู้
นอกจาก จำนวนสูตรลับ 87,000 เมนูแล้วชื่อ "สตาร์บัคส์" ไม่มีความหมายในตัวเอง แต่มาจากตัวละครในวรรณกรรม เรื่อง Moby Dick และที่เรามักจะเห็นว่าพนักงานส่วนใหญ่ยิ้มแย้ม ร่าเริง ตลอดเวลาแม้จะสั่งเมนูยากแค่ไหนเป็นเพราะ “ต้องยิ้มและห้ามบ่นเด็ดขาด” ส่วน "โต๊ะกลม" ที่ถูกนำมาใช้ในร้านก็ทำเพื่อให้คนไม่มีคู่ "ไม่เหงา" เมื่อเข้ามาใน "สตาร์บัคส์"
เปิด 13 ความลับ ของ "สตาร์บัคส์" ที่คุณอาจยังไม่เคยรู้!
ที่มา : www.womansday.com/,Bloomberg,เว็บไซต์ The Startup,CNBC
จาก"กาแฟรถเข็น"แก้วละ 40 บาท ไม่มีคนซื้อ แต่..."วันนี้ร้านไกลแค่ไหนก็ต้องไปลอง"
