ช่วงบ่ายวันนี้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล จะนำทีมงานลงพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เพื่อตรวจสำนวนและกำชับทีมทำคดีให้รอบคอบในการทำคดี รวมถึงสั่งการพื้นที่ เพราะพื้นที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 3 คือจังหวัดสุรินทร์ และศรีสะเกษ ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่รอยต่อตะเข็บชายแดน
โดยครั้งแรกที่พบอาวุธสงครามคือที่ ต.โสน อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ มีชาวบ้านพบระหว่างหาปลา และพบอาวุธสงครามจำนวนมากถูกซุกอยู่ในคลองน้ำ ในสภาพพร้อมใช้งาน ที่ประกอบด้วย จรวดต่อสู้รถถัง (ชนิด PG2 ) จำนวน 62 ลูก ดินส่งต่อสู่รถถัง(ชนิด PG2 ) 52 แท่ง ลูกระเบิด เอ็ม 79 จำนวน70 ลูก กระสุน ขนาด 7.62 จำนวน 4 ลังรวม 2,800 นัด และ ดินขยายการระเบิด จรวจต่อสู้รถถัง 48 นัด
จากนั้นไม่ถึงสัปดาห์ พบปืนอาก้าเพิ่มอีก จำนวน 16 กระบอก แม็กกาซีน 129 อัน และน้ำมันทำความสะอาด 18 กระปุกบริเวณบ่อน้ำทิศใต้บ้านกระโงก ต.สะเดา อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ ซึ่ง พล.ต.อ.ศรีวราห์ ระบุว่า เหตุการณ์ 2 จังหวัดนี้จะเชื่อมโยงกัน เพราะหลังพบอาวุธสงครามที่จ.ศรีสะเกษ ได้สั่งให้เร่งขยายผลจนพบปืนอาก้าเพิ่ม 16 กระบอก ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่มักพบในการชุมนุมทางการเมือง
ก่อนหน้า พล.ต.อ.ศรีวราห์ ยอมรับว่า การข่าวของตำรวจไม่เคยทราบว่า จะมีการขนอาวุธหรือเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือไม่ แต่เมื่อพบอาวุธจำนวนมากขนาดนี้ก็จะต้องมีการประชุมเรื่องการข่าว และเตรียมพิจารณาขอเพิ่มงบประมาณเพิ่มเติม เพราะต้องเพิ่มกำลังดูแลรักษาความปลอดภัยเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะประเทศไทยกำลังจะเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในปลายเดือนมิถุนายนนี้