สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า สหรัฐฯ ประกาศวานนี้ (17 มิ.ย.) ว่าจะเสริมกำลังทหารในตะวันออกกลางเพิ่มอีก 1,000 นาย พร้อมงัดชุดภาพถ่ายใหม่มาเป็นหลักฐานกล่าวหาอิหร่านว่าอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันลำหนึ่งในอ่าวโอมาน
ท่าทีล่าสุดของวอชิงตันมีขึ้นในขณะที่อิหร่านได้ยื่นเส้นตาย 10 วันให้ชาติมหาอำนาจปฏิบัติตามพันธกรณีในข้อตกลงควบคุมนิวเคลียร์ที่สหรัฐฯ ถอนตัวออกไป ไม่เช่นนั้นอิหร่านก็จะเลิกเคารพเกณฑ์ควบคุมยูเรเนียมสมรรถนะต่ำที่กำหนดไว้ไม่เกิน 300 กิโลกรัม
สายสัมพันธ์อิหร่าน-สหรัฐฯ เริ่มกลับมาตึงเครียดหลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งถอนตัวจากข้อตกลงควบคุมนิวเคลียร์ปี 2015 พร้อมกับเสริมกำลังทหารในภูมิภาค และยังประกาศขึ้นบัญชีดำกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน (IRGC) เป็นองค์กรก่อการร้าย
แพทริก แชนาแฮน รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า ได้อนุมัติให้เพิ่มทหารอีก 1,000 นายเพื่อจุดประสงค์ด้านการป้องกัน และรับมือภัยคุกคามทั้งทางอากาศ ทะเล และภาคพื้นดินในตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ สหรัฐฯ กล่าวโทษอิหร่านว่าอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำในอ่าวโอมานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่เตหะรานยืนกรานปฏิเสธ และวิจารณ์ข้อสรุปของอเมริกาว่า “ไม่มีมูล”
ล่าสุด กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้เผยแพร่ชุดภาพถ่ายใหม่ในวันจันทร์ (17 มิ.ย.) เพื่อยืนยันว่าอิหร่านเกี่ยวข้องกับการโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันสัญชาติญี่ปุ่น ‘โคคุกะ เคอเรเจิส’ (Kokuka Courageous)
เพนตากอนอ้างว่า มีระเบิดลิมเพ็ทไมน์ (limpet mine) ลูกหนึ่งที่ยังไม่ทำงานติดอยู่ข้างลำตัวเรือโคคุกะ ซึ่งต่อมาได้ถูกเรือตรวจการณ์อิหร่านเข้ามาถอดออกไป
“อิหร่านคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบเหตุโจมตีดังกล่าว โดยอ้างอิงจากคลิปวิดีโอที่เป็นหลักฐาน และผู้กระทำจะต้องมีทั้งทรัพยากรและความเชี่ยวชาญอย่างสูงจึงจะสามารถเก็บกู้ระเบิดลิมเพ็ทไมน์ที่ยังไม่ทำงานได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้” เพนตากอนระบุ
สหรัฐฯปล่อยคลิปอ้าง อิหร่าน เอี่ยวระเบิดเรือบรรทุกน้ำมัน
ราคาน้ำมันโลกพุ่งเกือบ 4% หลังเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำ ถูกโจมตีในอ่าวโอมาน
ภาพจากเฟซบุ๊ก U.S. Naval Institute