กัญชงกว่า 10 แปลง บนสถานีเกษตรหลวงปางดะ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส ลงพื้นที่ติดตามผล หลังจัดเป็นพื้นที่ปลูกเพื่อศึกษาวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและใช้ทางการแพทย์ โดยในทางกฎหมายได้ผลักดันให้กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจ แต่มีข้อจำกัดว่าสามารถใช้เพียงเส้นใยของต้นกัญชงมาแปรรูปได้เท่านั้น โดยนำมาผลิตเป็นสิ่งทอ เช่น หมวก เสื้อผ้า ผ้าห่ม
ดร.สริตา ปิ่นมณี นักวิจัยสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง เปิดเผยว่า นอกจากการนำเส้นใยต้นกัญชงมาแปรรูปเป็นสิ่งทอ การวิจัยยังพบว่าเมล็ดกัญชง มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ซึ่งมีโปรตีนประมาณ 25% และน้ำมันอีกประมาณ 20% ซึ่งในน้ำมันมีสารโอเมก้าสูงถึง 80% โดยในต่างประเทศมีกฎหมายรองรับ และนิยมทานสารสกัดจากเมล็ดกัญชง
สำหรับการวิจัยกัญชงในไทยเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2561 โดยการรวบรวมพันธุ์กัญชงเฉพาะในประเทศไทย และอยู่ระหว่างการขออนุญาตนำพันธุ์จากต่างประเทศเข้ามาใช้ในการพัฒนาสายพันธุ์กัญชง ให้มีสาร CBD สูง แต่สาร THC ต่ำ เพื่อสามารถนำสาร CBD ในกัญชงไปสกัดใช้ทางการแพทย์ได้ โดยทางสถาบันวิจัยเห็นว่าหากนำเพียงเส้นใยของกัญชงมาแปรรูปอย่างเดียว อาจจะยังไม่คุ้มค่าในด้านเศรษฐกิจ
ส่วนการผลักดันทางกฎหมาย ดร.สริตา เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. กำลังจะเสนอให้ปลดล็อกกันชงออกจากพืชยาเสพติด โดยอยู่ในขั้นตอนการปรับปรุงเกฎหมาย ให้สามารถบริโภคเมล็ดได้ เหมือนในต่างประเทศ
ด้าน นายเกษม ถนอมวรกุล อดีตผู้ใหญ่บ้านแม่สาน้อย ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม ตัวแทนกลุ่มชาวบ้านที่จัดทำผลิตภัณฑ์จากเส้นใยกัญชง เล่าว่า การทำผลิตภัณฑ์จากเส้นใยกัญชง เป็นเหมือนวิถีชีวิตของชุมชนตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ แต่ในเมื่อมีการควบคุมจากเจ้าหน้าที่รัฐ การขออนุญาตปลูกกัญชงยากขึ้นทำให้วิถีชีวิตของชาวบ้านเปลี่ยนไป รวมทั้งกังวลว่าหากมีการพัฒนาสายพันธุ์ จะทำให้เส้นใยในการทำผลิตภัณฑ์ไม่ได้คุณสมบัติเหมือนเดิม
สำหรับความกังวลของชาวบ้านต่อผลกระทบในการพัฒนาสายพันธุ์กัญชง นายวิชัย ไชยมงคล รองเลขาธิการ ป.ป.ส. ให้ข้อมูลว่า การศึกษาวิจัยจะทำการแยกส่วนกัน ระหว่างกัญชาที่ใช้เส้นใยมาแปรรูป กับ กัญชงที่ใช้ในทางการแพทย์
