วันนี้ (31 ก.ค.62) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถิติการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในรอบ 10 ปี จากข้อมูลของเครือข่ายเฝ้าระวังความปลอดภัยทางท้องถนน หรือ ไทยโรดส์ ที่ระบุว่า การเสียชีวิตบนถนนทางหลวงมามีแนวโน้มสูงขึ้น และสาเหตุหลักมาจากการใช้ความเร็ว ลักษณะของอุบัติเหตุและความรุนแรงที่ทำให้เกิดการเสียชีวิต เริ่มตั้งแต่การใช้ความเร็วที่ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการเกิดอุบัติเหตุด้วย เช่น หากใช้ความเร็ว 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วประสบอุบัติเหตุชนบริเวณด้านหน้ารถ ก็เสี่ยงจะเสียชีวิตได้
เล็งแก้กฎหมายเพิ่มความเร็วรถ 120 กม./ชม.
โดยการเปรียบเทียบแรงกระแทก ระหว่างการเกิดอุบัติเหตุรถชนกับการตกจากอาคารสูง จากภาพจะเห็นว่า หากใช้ความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้วเกิดอุบัติเหตุ จะเหมือนกับการตกตึก 5 ชั้น หากใช้ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็เทียบไดกับการตกตึก 8 ชั้น และหากใช้ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้วเกิดอุบัติเหตุก็เทียบได้กับการตกตึก 19 ชั้น
จากสถิตินี้ นพ.ธนะพงศ์ จินวงศ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน ระบุว่า ที่ผ่านมากฎหมายกำหนดให้ผู้ขับขี่ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ก็ยังมีผู้เสียชีวิตการขับขี่สูงกว่า 800 คน หากปรับแก้กฎหมายให้เพิ่มความเร็วขึ้นอีก ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
รมว.คมนาคม สั่งติดป้ายคุมความเร็ว หลังรถตู้ชาวญี่ปุ่นชนรถสิบล้อ
สอดคล้องกับข้อมูลของศูนย์ความร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลก ด้านการป้องกันอุบัติเหตุ ระบุว่า สภาพถนนในประเทศไทยไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้ความเร็ว เพราะเป็นถนนที่มีทางเชื่อม ทางแยก มีจุดกลับรถ ชุมชน บางจุดมีรถเพื่อการเกษตรวิ่งร่วมอยู่บนถนนด้วย หากกำหนดให้รถใช้ความเร็วได้ถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้น และนับได้ว่าถนนในประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในถนนอันตราย
สำหรับการจำกัดความเร็วที่เหมาสม นายแพย์วิทยา ระบุว่า ทางองค์การอนามัยโลกได้มีการศึกษามาแล้วว่า ความเร็วในเขตเมืองไม่ควรเกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนความเร็วในถนนหลวงสามารถเพิ่มจาก 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไปถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง