5 ปี “บิลลี่ พอละจี” สุดท้ายคือ “ฆาตกรรม”


โดย PPTV Online

เผยแพร่




ดีเอสไอ แถลง ผลการตรวจทางพันธุกรรมว่าเป็นบิลลี่จริง เพราะสายโลหิตตรงกับแม่ ทำให้สรุปได้ว่า “บิลลี่” เสียชีวิตแล้ว จึงปรับคดีการหายตัวไปของบิลลี่ให้เป็นคดีฆาตกรรม

ดีเอสไอคอนเฟิร์ม!! “บิลลี่ พอละจี” ตายแล้ว

DSI เตรียมแถลงคดี “บิลลี่ พอละจี”

กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ แถลงข่าวยืนยัน พบกระดูกส่วนกะโหลกของ นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ "บิลลี่" กะเหรี่ยงแก่งกระจานที่หายตัวไปกว่า 5 ปี จากใต้น้ำบริเวณใต้สะพานไม้ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติแก่งจาน โดยพบพร้อมถังที่มีร่องรอยการถูกเผา พร้อมยืนยันผลการตรวจทางพันธุกรรมว่าเป็นบิลลี่จริง เพราะสายโลหิตตรงกับแม่ ทำให้สรุปได้ว่า “บิลลี่” เสียชีวิตแล้ว จึงปรับคดีการหายตัวไปของบิลลี่ให้เป็นคดีฆาตกรรม

ชิ้นส่วนกะโหลกมนุษย์ ส่วนด้านใน ค่อนไปทางท้ายทอยจนถึงข้างหู คือ ชิ้นส่วนสำคัญที่กรมสอบสวนคดีพิเศษใช้เป็นวัตถุพยานยืนยันว่าเป็นของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ ชาวกะเหรี่ยงป่าแก่งกระจานที่สูญหายไปกว่า 5 ปี หลังเป็นแกนนำต่อสู้เรียกร้องสิทธิการอยู่ในป่าแก่งกระจานจากาการถูกขับไล่ลงมาจากที่อยู่อาศัยดั้งเดิมที่เรียกว่าบ้านใจแผ่นดิน และเรียกร้องความเป็นธรรมจากการถูกเจ้าหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเผาบ้านในที่อยู่อาศัยที่เรียกว่า บางกลอยบน และจากการพบกระดูกส่วนกะโหลกชิ้นนี้ ทำให้ยืนยันได้ว่า บิลลี่ เสียชีวิตแล้ว

ส่วนวิธีการตรวจสอบชิ้นส่วนกระดูกที่ยืนยันได้ว่าเป็นของบิลลี่  นายแพทย์วรวีร์ ไวยวุฒิ ผู้อำนวยการกองสารพันธุกรรม สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เปิดเผยว่า ชิ้นส่วนกะโหลกได้รับการยืนยันว่าเป็นของบิลลี่ เพราะเมื่อตรวจด้วยวิธี mitrochondria dna ซึ่งเป็นวิธีตรวจความสัมพันธ์จากแม่สู่ลูกที่ใช้ในงานโบราณคดี พบว่าสารพันธุกรรมในชิ้นส่วนกะโหลกนี้ สัมพันธ์กับสายโลหิตที่สืบทอดโดยตรงมาจากมารดาของบิลลี่ และเมื่อตรวจสอบจากญาติของบิลลี่ พบว่า พี่น้องคนอื่นที่มีมารดาคนเดียวกัน ยังมีชีวิตอยู่ทุกคน จึงสรุปได้ว่า นี่เป็นชิ้นส่วนกะโหลกของบิลลี่ รวมทั้งสามารถระบุได้ว่า บิลลี่ เสียชีวิตแล้ว เพราะกระดูกที่พบเป็นกระดูกชั้นในของศรีษะมนุษย์ ถ้าไม่มีกระดูกชิ้นนี้ มนุษย์คนนั้นจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้แน่นอน

ส่วนกระบวนการสืบสวนจนทำให้ดีเอสไอ พบชิ้นส่วนกระดูกของบิลลี่ ถูกเปิดเผยโดย พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งอธิบายจากแผนผังว่า นายพอละจี หรือ บิลลี่ ถูกพบครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ขณะถูกควบคุมตัวในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานที่ด่านตรวจเขามะเร็ว โดยผู้ควบคุมตัวอ้างว่าพบครอบครองน้ำผึ้ง 3 ขวด และอ้างอีกว่า “ปล่อยตัวบิลลี่ไปแล้ว” ที่สี่แยกบ้านมะค่า แต่คำให้การยังไม่น่าเชื่อถือ จึงลงพื้นที่หาข่าวมานานมาก

จนวันที่ 26 เมษายน 2562 ได้ประสานกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ใช้หุ่นยนต์ลงตรวจสอบใต้น้ำพร้อมสแกนด้วยระบบคลื่นโซน่าร์ การตรวจสอบใช้เวลา 6 ชั่วโมงจนเห็นพื้นใต้น้ำพบวัตถุต้องสงสัยบริเวณจุดกึ่งกลางใต้สะพานไม้ ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จึงประสานทีมมนุษย์กบและนักประดาน้ำจากตำรวจตระเวณชายแดนเข้ามาร่วมพิสูจน์ เมื่อดำลงไป จึงพบถังขนาด 200 ลิตร ถูกเจาะรู มีรอยดำไหม้ พร้อมเหล็กเส้น 2 ชิ้นที่มีรอยไหม้เช่นกัน ก่อนจะพบเศษกระดูกมนุษย์ชิ้นแรกใกล้จุดที่พบถัง ซึ่งก็คือ ชิ้นส่วนกะโหลกที่ถูกส่งไปตรวจ และพบวัตถุพยานทุกชิ้น มีลักษณะการผ่านความร้อนมา

วันที่ 23-24 สิงหาคม 2562 เมื่อทีมนักประดาน้ำ ดำน้ำลงไปอีกครั้ง จึงพบชิ้นส่วนกระดูกเพิ่มเป็น 20 ชิ้น แต่สามารถตรวจยืนยันว่าเป็นกระดูกมนุษย์ได้เพียง 8 ชิ้น เพราะกระดูกชิ้นอื่นมีขนาดเล็กเกินไป

ส่วนกระบวนการทำคดีนี้ต่อไป พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ขณะนี้สามาถยืนยันการเสียชีวิตของนายพอละจีได้แล้ว เพราะกระดูกที่พบว่าเป็นของนายพอละจี เป็นชิ้นส่วนที่จะขาดไปไม่ได้ในร่างกายมนุษย์ จึงถือว่า คดีนี้เปลี่ยนจากคดีบุคคลสูญหายเป็นคดีฆาตกรรมแล้ว โดยจะต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนต่อโดยนำสำนวนคดีเดิมมาพิจารณาประกอบ ทั้งวัตถุพยาน ประจักษ์พยาน รวมทั้งผู้ต้องสงสัยเดิมที่มีความขัดแย้งกับบิลลี่ พร้อมยืนยันมีพยานหลักฐานเดิมทุกชิ้น ทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดและหลักฐานอื่นๆ เพียงแต่ยังไม่ได้นำมาเปิดเผย และรายละเอียดการทำคดีต่อยังไม่สามารถเปิดเผยได้เช่นกัน

นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ เป็นหลานคนหนึ่งของ ปู่คออี้ เริ่มเข้ามามีบทบาทในการต่อสู้หลังการตายของนายทัศน์กมล โอบอ้อม หรือ อ.ป๊อด ผู้ที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมจากการถูกเจ้าหน้าที่เผาบ้านกะเหรี่ยง จนมาถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2554 ที่ อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี โดยก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน รูปถูกเขาถูกติดประกาศเป็นบุคคลที่ห้ามเข้าเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

บิลลี่ เป็นชาวกะเหรี่ยงหนุ่มที่ติดตามดูแลปู่คออี้ แต่เขาเป็นกะเหรี่ยงที่สามารถอ่านและเขียนภาษาไทยได้ดีที่สุดในชุมชน เมื่อนายทัศน์กมลถูกยิงเสียชีวิต จึงพลิกบทบาทมาเป็นผู้ขับเคลื่อนเรียกร้องความเป็นธรรมจากการถูกเผาบ้าน ตั้งแต่ประมาณปี 2555 เป็นผู้ที่ลงชื่อในเอกสารร้องต่อศาลปกครอง และเป็นผู้ถวายฎีกาเกี่ยวกับการถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐเผาบ้าน
จนวันที่ 17 เมษายน 2557 บิลลี่ หายตัวไปอย่างลึกลับ โดยครั้งสุดท้ายที่มีพยานพบเห็นอยู่กับนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เพราะถูกจับที่ด่านมะเรว โดยกล่าวอ้างว่า มีน้ำผึ้งติดตัว 3 ขวด แต่นายชัวัมน์อ้างว่า ปล่อยตัวบิลลี่มาแล้ว เพราะเพียงว่ากล่าวตักเตือนเท่านั้น

ข้อมูลก่อนหน้านี้ พ.ต.อ.ไตรวิช น้ำทองไทย อดีตรองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 7 ซึ่งเคยเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ บันทึกในสำนวนการสืบสวนว่า นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน(ในขณะนั้น) ที่ถูกพบเห็นว่าเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับบิลลี่ อ้างว่า มีพยานเป็นนักศึกษา 2 คน เห็นว่า เขาปล่อยตัวบิลลี่มาแล้ว แต่เมื่อนำตัวนักศึกษาทั้ง 2 คน มาสอบปากคำ พร้อมให้คุยกับพ่อแม่และอาจารย์ นักศึกษาทั้ง 2 คนให้การว่าไม่เห็นบิลลี่ถูกปล่อยตัว พร้อมบอกว่า มีคนมาพาไปชี้จุดต่างๆ เพื่อให้มาให้การกับตำรวจ

ทีมข่าว PPTV สอบถามกับ มึนอ หรือ นางพิณนภา พฤฤษาพรรณ ภรรยาของบิลลี่ ซึ่งทราบแล้วว่าเจ้าหน้าที่ยืนยันการเสียชีวิตของบิลลี่ โดยนางพิณนภา เห็นว่า การถูกปรับให้เป็นคดีฆาตกรรมน่าจะใกล้กับการหาตัวคนร้ายที่ฆ่าบิลลี่ได้ง่ายขึ้น แต่ทางครอบครัวจะรอให้ดีเอสไอทำคดีให้เรียบร้อยก่อน เมื่อคดีเรียบร้อยจึงจะขอนำกระดูกของบิลลี่กลับมาทำบุญตามประเพณีของชาวกะเหรี่ยง

ส่วนนายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และเป็นทีมทนายความของชาวกะเหรี่ยงป่าแก่งกระจาน เห็นว่าการที่ดีเอสไอสรุปว่าเป็นคดีฆาตกรรมน่าจะส่งผลดีต่อการสืบสวนเพราะกรอบการทำงานแคบลงเป็นการหาตัวคนร้ายที่สังหารบิลลี่

พบโครงกระดูกยัดถังในอช.แก่งกระจาน คาดโยงคดีบิลลี่

ประวัติ “บิลลี่-พอละจี” แห่งใจแผ่นดิน

 

 

TOP ประเด็นร้อน
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ