ญาติทารก ปัด ค้ามนุษย์ ยัน ลงเพจหาคนอุปถัมภ์
ตร.เร่งหาเจ้าของเพจอ้างซื้อ-ขายทารก ญาติเด็กจ่อแจ้งความเสนอข้อมูลเท็จ
เมื่อวันที่ (11 ก.ย. 62) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลตำรวจตรี วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเพจเฟซบุ๊กที่มีการปล่อยภาพและข้อความลักษณะซื้อขายเด็กทารก ล่าสุดเพจดังกล่าวปิดไปแล้ว จึงต้องประสานขอข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตำรวจในพื้นที่ตรวจสอบเพิ่มเติม เพื่อหาตัวผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเพจนี้
ส่วนจะเข้าข่ายค้ามนุษย์หรือไม่ ต้องพิจารณาว่า ตรงกับความผิดฐานค้ามนุษย์หรือไม่ ซึ่งมีข้อกำหนด 8 ข้อ ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 ประกอบด้วย การนำเด็กไปเพื่อค้าประเวณี บังคับใช้แรงงาน บังคับขอทาน การทำสื่อลามก บังคับเป็นทาส บังคับตัดอวัยวะ การขูดรีด และทำธุรกิจบริการทางเพศรูปแบบต่างๆ แต่เบื้องต้นเจ้าของเพจมีความผิดตามพ.ร.บ.การรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม เพราะเป็นตัวกลางชักชวน โดยการให้ค่าจ้างหรือค่าตอบแทนในการรับบุตรบุญธรรม ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และโทษความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก โทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน และหากตรวจสอบพบว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายการค้ามนุษย์ บุคคลที่อายุไม่ถึง 15 ปีจะมีโทษจำคุกสูงสุด15ปี และปรับสูงสุด3แสนบาท
ด้านแผนงานสุขภาวะผู้หญิง สมาคมเพศวิถีศึกษา เปิดเผยว่า สถิติของวัยรุ่นตั้งครรภ์ไม่พร้อมในปี 2561 มีประมาณกว่า 30 จากการสำรวจผู้หญิงตั้งครรภ์ทั้งหมด 1000คน ซึ่งสูงกว่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ที่ 25 คน
น.ส. จิตติมา ภาณุเตชะ เครือข่ายสนับสนุนทางเลือกของผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อม เปิดเผยว่า มีหลายหน่วยงานออกมาขับเคลื่อนและให้ความช่วยเหลือ จนมี พ.ร.บ.ป้องกันและแก้ไขปัญหาการท้องก่อนวัยอันควร ให้ความรู้เกี่ยวกับการคุมกำเนิดและการทำแท้งที่ปลอดภัย แต่ในส่วนของคนที่ท้องไม่พร้อมแต่จำเป็นต้องตั้งครรภ์ต่อ ยังไม่มีการเข้ามาดูแลให้ความช่วยเหลือในระยะยาว เช่น บ้านพักระหว่างรอคลอด การวางแผนอนาคต การเรียนต่อ หรือ การทำงาน หรือท้ายที่สุดไม่สามารถเลี้ยงบุตรได้จะมีบริการยกบุตรบุญธรรมหรือฝากเลี้ยงในระหว่างเรียน จึงอาจเป็นช่องโหว่ที่ทำให้มีระบบธุรกิจแฝงมาในรูปแบบของการช่วยเหลือ
น.ส. จิตติมา เปิดเผยว่า ปัญหาดังกล่าวต้องแก้ไขเชิงระบบ โดยเริ่มจากภาครัฐต้องวางแผนอนาคตให้ทั้งแม่และเด็ก ส่วนการท้องก่อนวัยอันควรและจำเป็นต้องท้องต่อ ควรมีการตั้งหน่วยงานที่ดูแลโดยเฉพาะ เพราะในขณะนี้การให้คำปรึกษาปัญหายังไม่มีความแน่ชัดว่าต้องเป็นหน่วยงานใด