หลักฐานที่ยืนยันว่ามนุษย์มีการสัก ลงบนผิวหนัง มีตั้งเเต่ประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล จากมัมมี่ที่ชื่อว่า Otzi หรือ ice man มีอายุเกือบ 5,000 ปี ซึ่งมีการถกเถียงกันว่า การสักนั้นโชว์ความเป็นลูกผู้ชาย หรือ เเท้จริงเเล้ว มันคือสัญลักษณ์ของมาเฟีย อันนี้ก็เเล้วเเต่ชาติเเล้วเเต่ประเทศจะตีความกัน เเต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการสักคือ สักเเล้ว ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันอย่างไร
นักวิจัยพบวิธียับยั้งการลุกลามของมะเร็งได้ถึง 75%
รองศาสตราจารย์ Christopher D Lynn นักมานุษยวิทยาการแพทย์ทางชีวภาพ เเละ นาง Michaela Howells ผู้ช่วยศาสตราจารย์มานุษยวิทยาชีวภาพ มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา เดินทางไปที่หมู่เกาะซามัว เพื่อศึกษาผลพวงทางสุขภาพเกี่ยวกับการสัก เเล้วพบว่ากระทบกับระบบภูมิคุ้มกันของผู้สักโดยตรง ด้วยหลักการของการนำหมึกเข้าไปฝังไว้ใต้ผิวหนัง ไม่ว่าจะด้วยศรัทธาความเชื่อ การอยากเข้าพวก หรือเพื่อความสวยงาม เเต่ร่างกายมองว่านั้น คือ สิ่งเเปลกปลอม
โดย มาโครฟาจ (Macrophages) หรือเม็ดเลือดชาวชนิดหนึ่ง จะถูกส่งไปจัดการกับผู้บุกรุกทันที และสิ่งที่ตามมา คือ ปรากฏการณ์ ปฏิกิริยาการปรับตัว (adaptive responses) ซึ่งโปรตีนในเลือด ที่เรียกกันว่า แอนติบอดี (antibody) จะพยายามต่อสู้กับปัญหาหมึก ที่ทะลุผิวหนังชั้นนอกเข้ามา ทำให้พวกมันมีความพร้อม เเละตื่นตัวที่จะโต้กลับกรณีที่เจอเชื้อโรค
ทั้งนี้หลักฐานที่นักวิจัยพบ คือ การสำรวจน้ำลาย ก่อนเเละหลังการสัก เพื่อหาสิ่งที่เรียกว่า ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย (immunoglobulin A) ที่มีไว้ต่อสู้เชื้อโรค อย่างไข้หวัด หรือไวรัสที่เเปลกปลอม ซึ่งปรากฏว่า คนที่สักจะมีระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายในน้ำลายมากกว่าก่อนสัก เเละเเม้ว่าเเผลจะหายดีเเล้ว เเต่ตัวภูมิคุ้มกันนี้ก็ยังสูงอยู่ เมื่อเทียบกันตัวต่อตัวกับคนที่ไม่เคยสักมาก่อน
นอกจากนี้เมื่อมีภูมิคุ้มกันดังกล่าวสูงขึ้น นั่นหมายความว่า เเผลที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง ในอนาคตก็มีเเนวโน้มที่จะหายได้เร็วขึ้น เมื่อเทียบกับก่อนที่จะมีภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขั้นจากการสัก เเต่อีกมุมหนึ่งอันตรายก็อาจเกิดจากการสัก มีตั้งเเต่ติดเชื้อ จนถึงมะเร็งผิวหนัง ถ้าหากระหว่างการสักทำไม่สะอาด และใช้หมึกไม่ดี
อย่างไรก็ตามผลวิจัยอื่น ๆ ก็ยืนยันว่า การกินอาหารดี ๆ นอนให้เพียงพอ ออกกำลังสม่ำเสมอ ก็ทำให้เรามีร่างกาย เเละภูมิคุ้มกันที่เเข็งเเรงได้ด้วยเช่นเดียวกัน
ผลวิจัยชี้ น้ำยาฆ่าเชื้อในบ้านมีส่วนทำให้เด็กน้ำหนักเกิน
Photo : VALERIE MACON / AFP
