โครงการวิจัยดังกล่าว คือ โครงการงานวิจัยภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ Chula Cancer Cure ซึ่งจะมีการรักษาเพิ่มเติมจากที่มีการรักษาในปัจจุบัน ได้แก่การฉายแสง การให้คีโม หรือ การผ่าตัด โดยจะเป็นวิธีการใหม่ 3 วิธี คือ การใช้แอนติบอดีภูมิต้านมะเร็ง การใช้วัคซีนรักษาโรคมะเร็งเฉพาะรายบุคคล และการรักษาด้วยวิธีเซลล์บำบัด
ชีวิตมีความหวัง “เมืองไทยผลิตยารักษามะเร็งได้เอง”
การพัฒนาแอนติบอดี เป็นการรักษาเพื่อทำให้เม็ดเลือดขาวมากำจัดเซลล์มะเร็ง ได้ตามธรรมชาติ เพราะวิธีการนี้มีผลข้างเคียงน้อย ซึ่งปัจจุบันก็มีการรักษาวิธีนี้ในประเทศไทย โดยการนำเข้ายาแอนติบอดีนี้มาจากต่างประเทศ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีราคาที่แพงมาก ตก 2-3 แสนบาทต่อเดือน
แต่หากงานวิจัยนี้ทำสำเร็จ จะทำให้ผู้ป่วยมีค่าใช้จ่ายแค่ 2 หมื่นบาทต่อเดือนเท่านั้น การทดลองตอนนี้อยู่ในระยะที่ 2 จาก 5 ระยะ อยู่ระหว่างการปรับปรุงแอนติบอดีต้นแบบจากหนูให้คล้ายกับโปรตีนของมนุษย์มากที่สุด คาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปีหน้า และอีกประมาณ 4-5 ปีจะสามารถนำมาทดสอบในมนุษย์
ส่วนการพัฒนาวัคซีนรักษาโรคมะเร็ง เฉพาะผู้ป่วยแต่ละคน ตรงนี้จะมีการนำชิ้นเนื้อมะเร็งของคนไข้ ออกมาผลิตเป็นวัคซีน ร่วมกับการใช้ยาแอนติบอดี ฉีดกลับเข้าไปรักษาคนไข้คนนั้นๆ ขณะนี้กำลังรอการพิจารณา เพื่อเริ่มวิจัยทางคลินิกในขั้นตอนที่ 3 คือฉีดเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วยและติดตามผลการรักษา
ด้านงานวิจัยด้านเซลล์บำบัด คือการพัฒนาการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ทำร่วมกับ มหาวิทยาลัยนาโกยา ประเทศญี่ปุ่น หากทำสำเร็จจะทำให้ค่าใช้จ่ายอยู่ที่การฉีด 1 ครั้ง 5 แสน ถึง 1 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีราคาอยู่ที่ประมาณ 10-15 ล้านบาทต่อการฉีด 1 ครั้ง
ทั้งนี้ปัญหาและอุปสรรคสำคัญของงานวิจัยทั้ง 3 กลุ่ม คือเงินทุนจำนวนมาก ซึ่งศูนย์ฯจึงได้จัดกิจกรรมวิ่งการกุศล “Chula Cancer Run ก้าว...ทันมะเร็ง” ในวันอาทิตย์ที่ 15 ธ.ค.นี้ ณ สนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยประชาชนที่สนใจสามารถเข้าไปสมัครและติดตามรายละเอียดได้ที่เฟซบุ๊ก กองทุนวิจัยภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็งจุฬาฯ
