นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยหลังการบรรยายทิศทางแผนยุทธศาสตร์ ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ประเทศ สปป.ลาว ว่า เมื่อดูตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ที่ออกมาหลายส่วนไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ จึงมองว่าทั้งปีนี้การเติบโตทางเศรษฐกิจอาจเติบโตต่ำกว่า 2.8% ซึ่งมาจากปัจจัยความกดดันทางการค้าที่ส่งผลกับทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น
หลายฝ่ายคาด กนง.คงดอกเบี้ย 1.75%
สภาพัฒน์ เผย จีดีพี 62 ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 5 ปี
แต่ในปี 2563 มองว่าจะกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้น เนื่องจากปี 2562 ความล่าช้าจากการเลือกตั้ง การเบิกจ่ายงบประมาณได้ล่าช้า รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงการย้ายฐานผลิตเข้ามาในพื้นที่อีอีซี ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้ากลับมาเติบโตดีขึ้น
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป มองว่าต้องปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพราะประเทศไทยยังมีปัจจัยโครงสร้างเศรษฐกิจอยู่มาก ที่จะส่งเสริมการลงทุน เพราะที่ผ่านมาการลงทุนของไทยอยู่ในระดับต่ำ
สำหรับใช้นโยบายการเงินของไทย ทางธนาคารแห่งประเทศไทยมีการประเมินสถานการณ์อยู่ตลอด หากแนวโน้มเศรษฐกิจไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ก็พร้อมที่จะปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสม แต่นโยบายที่ออกมาทุกครั้งจะมีผลที่ติดตามมาเสมอ ซึ่งปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายของไทยต่ำสุดในประเทศเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียแล้ว
ส่วนแนวโน้มอัตราค่าเงินบาท ในอนาคตค่าเงินบาทมีแนวโน้มจะผันผวนสูงขึ้น และเป็นการผันผวนขึ้นลงได้ทั้งสองทิศทาง ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงในภาวะตลาดเงินตลาดทุนโลกก็จะให้ค่าเงินอ่อนค่าได้เช่นเดียวกัน จึงขอย้ำให้ผู้ประกอบการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ยังแสดงความกังวลถึงสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทย ที่มีความเปราะบาง เนื่องจากมีผลต่อทั้งเศรษฐกิจมหภาค และระดับครัวเรือน หากหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงมาก การจะออกนโยบายการคลังไปก็จะไม่ส่งผลอย่างที่ควรจะเป็น เนื่องจากรายได้ของประชาชนต้องถูกดึงไปใช้หนี้ สถานการณ์ครัวเรือนเองก็ย่อมเปราะบาง หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ต้องเข้าไปสู่กับดักหนี้สิน ไปจนถึงภาวะสังคมผู้สูงอายุที่คนไทยจะมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น ฉะนั้นหนี้ครัวเรือนจึงเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขในทุกมิติ
"ธนาคารโลก" ปรับการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยลงเหลือ 3.8% เหตุ จัดตั้งรัฐบาลล่าช้า
