ราวกลางเดือนกันยายน 2562 หลังพายุโพดุลและคาจิกิผ่านพ้น กว่า 6000 ครอบครัว จาก 13 อำเภอ ของ จ.อุบลราชธานี ต้องตกอยู่ในสถานะผู้อพยพหนีน้ำทันที เพราะสภาพพื้นที่กลายเป็นทะเลสาปน้ำจืดไปแล้ว
นับถอยหลังวิกฤตภัยแล้งหนักสุดรอบ 17 ปี น้ำเหลือใช้อีกแค่ 36 วัน (คลิป)
วิกฤต! "โคราช-บุรีรัมย์-ชัยภูมิ" ประสบภัยพิบัติแล้ง
หากยังจำได้ น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากหน่วยงานรัฐ เพิ่งประกาศให้เตรียมรับมือกับภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วง ไม่กี่วันก่อนหน้า
แม้ปริมาณน้ำที่ท่วมใหญ่ใน จ.อุบลราชธานี จะมีมากจนทำลายสถิติหลายสิบปี แต่ปริมาณน้ำนี้ กลับไม่สามารถดึงกลับมาใช้ประโยชน์ได้ในช่วงแล้ง เพราะเป็นฝนที่ตกใต้เขื่อน น้ำส่วนใหญ่ต้องปล่อยให้ไหลทิ้งออกทางแม่น้ำโขง และไม่ใช่แค่ภาคอีสาน หากมองภาพรวมทั้งประเทศ ทั้งฤดูฝนปีนี้ มีน้ำไหลเข้าอ่างไว้ใช้ยามแล้งเพียงประมาณ 63 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ทำให้ปัจจุบัน มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อย่างน้อย 11 แห่ง ที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะมีน้ำใช้การ เหลือไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีน้อยกว่าความต้องการใช้น้ำของประชาชนทั้งภาคเกษตรและอุปโภค-บริโภคทั้งหมด
เมื่อปริมาณน้ำใช้การของปีนี้มีไม่มาก กรมชลประทานจึงต้องจำกัดการปล่อยน้ำเพื่อจัดสรรให้ผ่านพ้นไปจนถึงหมดฤดูแล้งปีหน้า ทำให้ปัจจุบันลำคลองสายหลักหลายพื้นที่เริ่มแห้งขอด พืชผลการเกษตรหลายแห่งเริ่มยืนต้นตายแล้วจากการขาดแคลนน้ำ
ขณะที่ผลสำรวจของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ คาดการณ์ว่าปีหน้าจะมีพื้นที่เกษตรนอกเขตชลประทานเสี่ยงขาดแคลนน้ำถึงกว่า 3 แสน 7 หมื่นไร่
เช่นเดียวกับพื้นที่นอกเขตการให้บริการของการประปาส่วนภูมิภาค กว่า 4000 หมู่บ้าน จาก 43 จังหวัด ที่อาจขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภค
แม้เบื้องต้น สทนช. ระบุว่าได้เตรียมแผนรับมือแก้ภัยแล้งนี้ด้วยการจัดหาแหล่งน้ำสำรองเพิ่มทั้งผิวดิน และแหล่งน้ำใต้ดินอย่างบ่อบาดาลไว้แล้ว แต่จากสถานการณ์ปีนี้ นั่นหมายความว่าปีหน้าภาคประชาชนเองก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับภัยแล้งที่จะถึงนี้เช่นกัน