วันนี้ (8 ม.ค.63) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ฐานทัพอากาศอิน อัล-อาซาด (Ayn al-Asad Air Base) ทางตะวันตกของประเทศอิรัก ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธจำนวนหลายลูก โดยหน่วยพิทักษ์การปฎิวัติอิหร่าน IRGC ประกาศว่าเป็นการ “ล้างแค้น” ต่อการสังหาร พลตรีกอซิม สุไลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ของอิหร่าน
สหรัฐฯส่ง “เครื่องบินทิ้งระเบิด B-52” ไปมหาสมุทรอินเดีย เตรียมรับมืออิหร่าน
“ทรัมป์” ทวีตแล้ว หลัง อิหร่าน ยิงขีปนาวุธ โจมตีฐานทัพสหรัฐฯ
ด้าน สปุตนิกนิวส์ สื่อรัสเซีย รายงานว่า หน่วยพิทักษ์การปฎิวัติอิหร่าน IRGC ยืนยันผ่านเพรสทีวี สื่อของอิหร่าน ว่า ฐานทัพอากาศอิน อัล-อาซาด ของอิรักถูกโจมตีจริง ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากมิสไซล์จำนวนหลายสิบลูกได้ยิงออกไป โดยมีเป้าหมายไปยังที่ตั้งทางการทหารของกองกำลังสหรัฐอเมริกาที่อยู่ด้านใน พร้อมกับเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาถอนทหารออกไป
ทั้งนี้รายงานเบื้องต้นกล่าวถึงสถานการณ์ว่า เชื่อว่ามีมิสไซล์จำนวนประมาณ 30 ลูก ถูกยิงโดยมีเป้าหมายไปที่ฐานทัพอากาศแห่งนี้ และจะยังมีการยิงออกมาอย่างต่อเนื่องอีก อ้างอิงจาก VOA News' Carla Babb
โฆษก กต.ยันสหรัฐฯไม่ได้แจ้งไทย ก่อนสังหารนายพลอิหร่าน
ویدئویی که از لحظه برخورد شماری از موشکها با پایگاه عین الأسد منتشر شده است. pic.twitter.com/3IPJHD4Imr
— خبرگزاری فارس (@FarsNews_Agency) January 8, 2020
ขณะที่สื่อฟาร์อีสต์นิวส์ ของอิหร่าน ยืนยันข่าวการโจมตีเช่นกัน โดยชี้ว่า ขีปนาวุธถูกยิงไปยังฐานทัพสหรัฐอเมริกาในอิรัก เพื่อเป็นการล้างแค้น
ส่วน สผุตนิกนิวส์ รายงานจากแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯระดับสูงที่ประจำในอิรัก ซึ่งให้ข้อมูลว่า ขีปนาวุธของอิหร่านที่ใช้นี้คาดว่าจะเป็น “ขีปนาวุธร่อน” หรือ “ขีปนาวุธพิสัยใกล้”
“ทรัมป์” ชี้การโพสต์โซเชียล ถือเป็นการแจ้งรัฐสภาแล้ว ว่าสหรัฐฯ เตรียมโจมตี อิหร่าน
อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่สหรัฐอเมริกายังไม่เปิดเผยถึงจำนวนของทหารสหรัฐฯที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต อ้างอิงจากรอยเตอร์ระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับรายงานสรุปแล้ว
อิหร่านแถลงการณ์ยิงขีปนาวุธ เป็นการตอบโต้ "ทรัมป์"
ด้าน CNN รายงานเพิ่มเติมล่าสุดเข้ามาว่า อิหร่านยิงขีปนาวุธจำนวนมากกว่า 12 ลูก โจมตีไปที่ฐานทัพอิรัก 2 แห่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งกองกำลังสหรัฐฯ
ทั่วโลกจับตา หลังอิหร่านยิงถล่มฐานทัพสหรัฐฯ พร้อมขู่โจมตีชาติพันธมิตร
ภาพประกอบข่าว จาก AFP