พล.ต.ต.วิบูลย์ วงค์ก้อม ผบก.ภ.จว.เลย มีคำสั่งให้ สถานีตำรวจภูธรทุกแห่งในจ.เลย เข้มงวดการจับกุมมือเผาป่า และเผาอ้อย รวมทั้งการขนส่งขนอ้อยที่เผา มีเศษฝุ่นปลิวว่อนสร้างความรำคาญกับผู้สัญจร ให้จับและดำเนินคดี ทั้งจำทั้งปรับ จนถึงที่สุดแห่งคดี หลังจากที่ชาวบ้านได้ลักลอบเผาอ้อย เร่งส่งเข้าโรงงานน้ำตาล ก่อนที่โรงงานจะปิดหีบอ้อยในก.พ. และบางจุดได้ลุกลามไหม้เข้าไปในป่า ทำให้เกิดหมอกควันปกคลุมทั้งเมือง ชาวบ้านต่างผจญกับทั้งเศษฝุ่น PM2.5 และขี้เถ้าของใบอ้อยหรือหิมะดำ ลอยปลิวว่อนในอากาศ สร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนทั้งจังหวัด
เผาป่าอ้อยทำไฟไหม้ลามบ้านวอดทั้งหลัง
พล.ต.ต.วิบูลย์ วงค์ก้อม เผยว่า ในขณะที่ตำรวจได้วางมาตรการการเผาอ้อยของชาวบ้าน ไว้ 2 แนวทาง แนวทางแรกเรื่องของการป้องกันและการประชาสัมพันธ์ โดยผ่านผู้นำชุมชน และแนวทางที่ 2 การดำเนินคดี เนื่องจากสภาพของจ.เลยแทบจะ 80 % ของพื้นที่เป็นภูเขา เป็นสภาพเป็นป่า
ฉะนั้นเมื่อมีการเผาอ้อย จึงมีโอกาสที่จะลุกลามเข้าไปในเขตป่า เขตอุทยานแห่งชาติ และถ้าหากลุกลามไปแล้วยากที่จะดำเนินแก้ไข ในเรื่องนี้ได้รับคำสั่งจากท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเลย นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ให้ตำรวจทุกสถานีให้จัดชุดเคลื่อนที่เร็วออกร่วมกับฝ่ายปกครอง หลังจากได้รับการแจ้งเหตุเรื่องของการเผาป่า เผาอ้อย
ซึ่งชุดนี้ต้องเร่งไปสถานที่เกิดเหตุ ถ้าพบผู้กระทำความผิดต้องทำการจับกุมและให้ดำเนินคดีถึงที่สุด แต่ถ้าหากไม่พบให้เจ้าหน้าที่ทำการสืบสวนสอบสวนหาผู้กระทำผิดมาลงโทษ และทางตำรวจเองได้กำชับให้ตำรวจในพื้นที่หาข่าวและป้องปราม สืบว่าพื้นไหนที่คาดว่าจะเผาอ้อย ให้ซุ่มกำลังติดตามหากพบกำลังจะเผาให้รีบจับมาดำเนินคดีทันที
ส่วนในเรื่องความผิดต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงเป็นเรื่องๆไป ที่ชัดเจนในเรื่องของกฎหมายอาญาที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้อันเป็นอันตรายต่อทรัพย์สินอื่น และอีกส่วนตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข การเกิดฝุ่นละอองPM2.5 หากไหม้ใกล้ทางหลวงก็ใช้ พ.ร.บ.ทางหลวง ส่วนในเรื่องการขนอ้อยที่เผา ที่บรรทุกมาที่มีลักษณะตกหล่น มีฝุ่นละอองต่างๆ ได้กำชับให้ตำรวจที่พบเห็นดำเนินคดีตามกฎหมายการจราจรทางบก ทันที
ไฟไหม้ตอซังข้าวลุกลามรวดเร็วพื้นที่เสียหายไปกว่า 20 ไร่