กลายเป็นอีกเรื่องที่ถูกจับตามองภายหลังโรงเรียนวัดบวรนิเวศ ออกมาประกาศจะไม่มีการบ้านให้เด็กกลับไปทำที่บ้านอีกต่อไป เรียกว่า NO HOMEWORK SCHOOL โดยเอาเวลาไปทำกิจกรรมเสริมต่างๆ ไม่ต้องเครียดเกินไป ซึ่งกรณีนี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย
โรงเรียนในฝัน! รร.วัดบวรนิเวศ ตั้งเป้าปี63 เป็นโรงเรียนปลอดการบ้าน
สุดยอดครูทำลิสต์ช่วยลูกศิษย์คลายเครียดก่อนสอบ (คลิป)
รายการเป็นเรื่องเป็นข่าว วันนี้ (18 ก.พ.) ได้เชิญ “พชรพรรษ์ ประจวบลาภ” เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย และได้โฟนอินเข้ารายการกับ “อาจารย์เขษมชาติ อารีมิตร” ผู้อำนวยการรร.วัดบวรนิเวศ มาร่วมพูดคุยกับประเด็นดังกล่าว
ทั้งนี้ อาจารย์เขษมชาติ อารีมิตร ผู้อำนวยการรร.วัดบวรนิเวศ ให้ข้อมูลถึงที่มานโยบายดังกล่าว ผ่านการโฟนอินเข้ารายการว่า เรามองว่า การศึกษาไทยไม่ไปถึงไหน แต่ทำไมฟินแลนด์ระบบการศึกษาเขาเป็นที่หนึ่ง สิงคโปร์เป็นที่ 2 เมื่อไปอ่านบทความของฟินแลนด์ก็โดนใจตนเอง เพราะฟินแลนด์ไม่มีการบ้าน ไม่มีการสอบ ซึ่งตนได้มีโอกาสไปดูงานหลายปีแล้ว และได้เก็บแนวคิดนี้มาตลอดว่า หากมีโอกาสตนจะทำเรื่องนี้ ซึ่งจะเริ่มในปีการศึกษา 2563 เปิดเทอมหน้านี้
“การเรียนก็ยังเรียนตามหลักสูตร โดยใช้หลักสูตรห้องเรียนกลับด้าน ให้เด็กไปศึกษาหาความรู้จากสื่อต่างๆ ว่า เรื่องนี้สอนในเพจนี้ สอนในออนไลน์ โดยครูจะมีหน้าที่แนะนำ และเมื่อมาโรงเรียน ครูก็จะเสนอแนะ และให้ทำแบบฝึกหัดในโรงเรียน เราปรับวิธีการสอนด้วย ไม่ใช่แค่ยกเลิกการบ้านอย่างเดียว แต่ปรับวิธีการสอนด้วย ทั้งนี้ การบ้านก็จะค่อยๆลดลงในปีการศึกษา2563 นี้ เพราะบางทีเด็กหลายคนทำการบ้านดึกๆ มานั่งเรียนก็หลับอีก แบบนี้จะได้อะไร การมีการบ้านจะทำให้เขาวิตกกังวล จริงๆ เมื่อไม่มีการบ้านก็จะมีเวลาไปทบทวนเองได้ ให้อิสระมากขึ้น ให้มีเวลาค้นหาตัวเองว่าชอบอะไร เช่น ชอบภาษาอังกฤษก็ไปค้นคว้าวิชาที่ตนเองชอบ” ผอ.รร.วัดบวรนิเวศ กล่าว
เมื่อถามกรณีบางคนกังวลว่า เด็กมีเวลาเพิ่มจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่นมากเกินไป เช่น เล่นเกม อาจารย์เขษมชาติ กล่าวว่า เด็กต้องฝึกความรับผิดชอบมากขึ้น การเล่นเกมเราห้ามไม่ได้ แต่เราแนะนำเขาได้ การที่เด็กได้ดูเนื้อหาสื่อที่เขาสนใจก็ต้องดูว่า อะไรที่เป็นประโยชน์ อย่างเล่นมือถือก็ต้องหาจุดที่มีประโยชน์มาสอน มาแนะนำเขา จริงๆ ส่วนใหญ่คนเห็นด้วย อย่างผู้ใหญ่เกษียณอายุราชการก็ยังโทรมาชื่นชม และอวยพรขอให้ทำให้สำเร็จ
“นอกจากนี้ จะมีการวัด การประเมินผลตามความเป็นจริง โดยเราต้องดึงจุดแข็งเด็ก และต้องรู้ว่า เด็กมีความบกพร่องแบบไหน และทำแผนการเรียนเฉพาะบุคคล เพราะเด็กทุกคนไม่สามารถทำแบบฝึกหัดได้เหมือนกันหมด โดยเราต้องปรับครูให้เป็นครูมืออาชีพด้วย ครูต้องรู้จักเด็กรายบุคคล ต้องรู้จักชื่อเล่น รู้จักแฟน ครอบครัว ต้องรู้ว่า เด็กคนนี้เก่งเรื่องไหน อย่างไรด้วย อย่างไรก็ตาม โรงเรียนวัดบวรฯ มีเด็กไม่มากมี 200 กว่าคน ครู 30 คน จึงทำได้ง่าย เพราะหากโรงเรียนใหญ่ๆคงทำไม่ได้ทันที ซึ่งปัจจุบันในโรงเรียนเห็นด้วยกันหมด จริงๆขอย้ำว่า เราไม่ได้ลอกฟินแลนด์ทั้งหมด เราแค่นำสิ่งดีๆของเขามาปรับใช้ของเรา” ผอ.รร.วัดบวรนิเวศ กล่าว
ด้าน พชรพรรษ์ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย กล่าวชื่นชมผอ.รร.วัดบวรนิเวศ ที่มีนโยบายนี้ และหากทุกโรงเรียนเริ่มทำก็จะเป็นสิ่งที่ดี ระบบการศึกษาจะเดินหน้า อย่างไรก็ตาม การไม่มีการบ้าน ท่านผอ.ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีงานอะไร เพราะให้เด็กมีการทบทวนที่บ้านเอง และในวันรุ่งขึ้นก็สามารถมาแสดงออก มานำเสนอหน้าชั้นเรียน จากสิ่งที่ตัวเองทบทวนที่บ้าน น่าจะดีกว่า เพราะสิ่งเหล่านี้จะเข้าไปอยู่ในสมอง ซึ่งจริงๆ ก็อาจจะไม่ใช่การบ้านโดยตรง เมื่อย้อนกลับไปฟินแลนด์ เป็นประเทศเล็กๆจึงทำได้ง่าย ก็เหมือนที่ผอ.บอกว่า โรงเรียนขนาดเล็กจึงทำได้ง่าย
“จริงๆ เราอยากให้เริ่มนโยบายนี้ตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนต้น เพราะเด็กจบม.3 เด็กจะมีเส้นทางการเรียน 2 ทาง และมีย่อยอีก ทั้งมัธยมปลาย หรืออาชีวะศึกษา หรือพาณิชย์ ก็จะมีเส้นทางย่อยอีก ดังนั้น หากจะให้เด็กค้นคว้าตัวเองได้เร็วขึ้นก็จะดี เป็นโอกาสทอง ส่วนที่กังวลว่า เด็กจะติดเกมนั้น เกมก็เหมือนสายน้ำ เราขวางสายน้ำไม่ได้ เราสามารถบังคับทิศทางน้ำได้ เราลองวิธีว่า โรงเรียนกับผู้ปกครองจะมีวิธีอย่างไรให้เล่นเกมอย่างมีความรับผิดชอบ” พชรพรรษ์ กล่าว และ ว่า อย่างเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็มีการปรับตัว โดยใช้ความสามารถของตัวเองด้วยเช่นกัน
พชรพรรษ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และอยากขออ้อนวอนท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษาฯ ช่วยนำโมเดลจากรร.วัดบวรนิเวศ เพื่อไปลองทำในรร.ขนาดเล็กก่อน หากดีค่อยถอดบทเรียน และขยายต่อไป
