หลังเก็บเกี่ยวผลผลิต ฟางข้าวที่เคยถูกเผาเพื่อทำลายวัชพืชเจือปนในอดีต เวลานี้กลับกลายเป็นของมีค่า นำมาอัดก้อนเพื่อส่งขาย แม้เจ้าของนาจะได้เงินเพียงราคาไร่ละ 50 บาท แต่เงินจำนวนนี้ ก็ถือเป็นรายได้เสริม ชดเชยค่าผลผลิตที่เสียหายจากภัยแล้ง
"คนเลี้ยงวัว" หนึ่งผลกระทบ จาก "ภัยแล้ง"
นาย สมชาย จูมั่นผู้ประกอบการรับอัดและขายส่งฟางข้าว เล่าว่า วิกฤตแล้งปีนี้ทำให้ชาวนาปลูกข้าวนาปรังได้น้อย ฟางข้าวจึงหาได้ยาก และในฐานะพ่อค้า เขาเองประเมินว่าฟางข้าวจะขาดแคลน ดังนั้นจึงเริ่มกักตุนฟางข้าวบางส่วนไว้ เพื่อรอจังหวะทำกำไร
นาย สมชาย บอกว่า ปกติฟางข้าวจะเริ่มขาดแคลนในฤดูฝนเท่านั้น เพราะฟางจะเปียกจนอัดก้อนไม่ได้ แต่ปีนี้คาดว่าจะขาดแคลนตั้งแต่ฤดูแล้งยาวไปจนถึงจบฤดูฝน เพราะหากเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว ฟางข้าวปีนี้น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
เนื่องจากว่าปีนี้น้ำแล้ง ชาวนาจะเริ่มปลูกข้าวได้ใหม่ต้องรอฤดูฝน คือเริ่มปลูกช่วงเดือนพ.ค. และจะไปเก็บเกี่ยวช่วงเดือนส.ค.หรือ ก.ย. แต่ปัญหาคือ ช่วงนั้นมีฝนตก การเก็บฟางข้าวจะทำได้ยาก เพราะฟางข้าวจะเปียกชื้น นี่เป็นปัจจัยที่ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมมั่นใจว่าฟางข้าวปีนี้จะขาดแคลนไปอีกหลายเดือน”
สำหรับฤดูแล้งที่ไม่มีหญ้าสดขึ้น ฟางข้าวถือเป็นอาหารหลักสำหรับฟาร์มโคนม ที่จะช่วยให้วัวได้ปรับสมดุลกะเพาะอาหาร เจ้าของฟาร์ม บอกว่า หากฟาร์มไหนที่พอมีทุนก็เริ่มที่จะกักตุนฟางข้าวไว้ แต่สำหรับฟาร์มของเธอและอีกหลายฟาร์มที่ประสบวิกฤติมาตั้งแต่โรคปากเท้าเปื่อยระบาดในวัว เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ทำให้ตอนนี้ไม่มีทุน ดังนั้นเธออาจจะต้องขายวัวบางส่วนเพื่อซื้อฟางข้าวมาเก็บไว้ในสต็อก ก่อนที่ราคาจะพุ่งสูงไปอีก 1-2 เท่าตัว
นอกจากฟางข้าวซึ่งเป็นอาหารหยาบจะขาดแคลนแล้ว อาหารข้นของวัวที่มีส่วนผสมหลักเป็นมันสัมปะหลัง และข้าวโพด ก็ส่อเค้าจะขึ้นราคาอีกในช่วงแล้งนี้ ทำให้ต้นทุนของฟาร์มโคนมจะสูงขึ้นอีก
ในขณะที่ผลผลิตน้ำน้ำได้น้อย เพราะอากาศแล้งจัด ส่งผลให้วัวเครียด เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมประเมินว่า หากภัยแล้งทำให้ชาวไร่ชาวนาปลูกพืชไม่ได้ ผลกระทบก็จะตกมาถึงวงจรอาหารสัตว์ด้วย พวกเขาจึงหวังว่า มาตรการของรัฐในช่วงเวลานั้น จะสามารถบรรเทาความเดือนร้อนได้บ้าง
อีสานแล้งหนัก ผลกระทบยังคงขยายวงกว้าง