ไปดูแนวทางการจัดการหน้ากากอนามัยของแต่ละประเทศ...
ไวรัสโคโรนา: หน้ากากอนามัยขาดตลาด พบปชช.ส่วนหนึ่งเข้าไม่ถึง
ไทย
4 ก.พ. 63 กรมการค้าภายใน คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ออกประกาศให้หน้ากากอนามัย (รวมถึงใยสังเคราะห์ polypropylene หรือ spunbond วัตถุดิบที่ใช้ทำหน้ากาก) เป็น “สินค้าควบคุม”
6 ก.พ. 63 รัฐบาลไทยเริ่มแจกหน้ากากอนามัยจำนวน 45,000 ชิ้น แก่ประชาชนทั่วไปตามจุดต่าง ๆ ประกาศหน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม จำกัดการซื้อได้คนละ 10 ชิ้นและห้ามส่งออก
ประเทศไทยมีโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยประเภทใช้ครั้งเดียวทางการแพทย์อยู่ 11 แห่ง ทั้ง 11 แห่ง แจ้งว่ามีกำลังการผลิตรวมกันประมาณวันละ 1,200,000 ชิ้นหรือเดือนละประมาณ 36 ล้านชิ้น ทว่าจากการตื่นกลัวการระบาดของไวรัส โควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการหน้ากากเพิ่มขึ้นเป็น 1-2 เท่าจากปกติ
รัฐบาลออกมาตรการให้หน้ากากอนามัยทั้งหมดที่โรงงานทั้ง 11 แห่งผลิตได้ ต้องส่งมาให้ “ศูนย์กระจายหน้ากากอนามัย” ที่บริหารร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุข
ศูนย์แห่งนี้รับหน้ากากอนามัยจากโรงงานเข้ามาวันละ 1,200,000 ชิ้น ทั้งหมดถูกจัดสรรออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรก 700,000 ชิ้นให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบจัดสรรหน้ากากให้กับโรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชน รวมทั้งโรงพยาบาลในมหาวิทยาลัย ส่วนอีก 500,000 ชิ้น ให้กรมการค้าภายในจัดสรรกระจายสินค้าให้กับประชาชนทั้งประเทศที่ต้องการหน้ากากผ่านทางร้านค้าสะดวกซื้อ-ร้านธงฟ้าประชารัฐ และรถโมบายล์มากกว่า 100 คัน พร้อมทั้งกำหนดราคาจำหน่ายหน้ากากอนามัยให้ประชาชนไว้ที่ 2.50 บาท/ชิ้น
จีน
กำลังการผลิตหน้ากากอนามัยของจีนเฉลี่ยอยู่ที่ 22 ล้านชิ้นต่อวัน ซึ่งไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับประชากร 1.4 พันล้านคน
24 ม.ค. – 2 ก.พ. 63 เฉพาะเมืองปักกิ่ง มีการนำเข้าหน้ากากอนามัยจากต่างประเทศ 220 ล้านชิ้น
ต้นเดือน ก.พ. 63 หลังเทศกาลตรุษจีน กำลังการผลิตหน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้น 10% แต่จำนวนทั้งหมดก็ยังคงไม่เพียงพอต่อการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานอยู่ในแนวหน้า
อย่างไรก็ตาม จีนไม่มีมาตรการห้ามส่งออกหน้ากาก ส่งผลให้หน้ากากก่าครึ่งหนึ่งในตลาดโลกมาจากประเทศจีน ทั้งนี้ จีนยังพยายามสื่อสารให้ประชาชนลดความตื่นตระหนกจนทำให้หน้ากากขาดแคลน
สิงคโปร์
30 ม.ค. 63 รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศแจกหน้ากากอนามัยจำนวน 5.2 ล้านชิ้น แก่ประชาชนทุกครัวเรือน ครัวเรือนละ 4 ชิ้น ในวันเดียวกันนี้ หน่วยงานเทคโนโลยีของรัฐบาลสิงคโปร์ (GovTech) สร้างเว็บไซต์ MaskGoWhere เพื่อให้ประชาชนสามารถป้อนรหัสไปรษณีย์ ค้นหารายละเอียดเกี่ยวกับจุดรับการแจกจ่ายหน้ากาก
1 ก.พ. 63 รัฐบาลสั่งระดมทหาร 1,500 นาย มาร่วมบรรจุและจัดส่งหน้ากากให้แก่ประชาชน ถึงวันที่ 9 ก.พ. 63 ก่อนขยายมาจนถึงสิ้นเดือน ก.พ. 63
18 ก.พ. 63 กระทรวงการพัฒนาแห่งชาติ (MND) ระบุจะเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตหน้ากากในประเทศ รวมถึงเพิ่มความรัดกุมในการส่งออกหน้ากากอนามัยไปยังประเทศอื่นในแถบเอเชีย
27 ก.พ. 63 ประชาชนสิงคโปร์ 2 ใน 3 ของประเทศได้รับหน้ากากอนามัยอย่างเพียงพอ
1 มี.ค. 63 หน้ากากอนามัยที่เหลือจากการแจกจ่ายประชาชนถูกจัดเก็บเข้าคลังเพื่อส่งต่อให้บุคลากรทางการแพทย์ต่อไป
ไต้หวัน
24 ม.ค. 63 รัฐบาลไต้หวันประกาศห้ามการส่งออกหน้ากาอนามัยชั่วคราว เพื่อจัดหาหน้ากากให้กับประชาชนของตนเองก่อน
6 ก.พ. 63 รัฐบาลจัดทำระบบจัดสรรหน้ากาก โดยกำหนดให้ประชาชนต้องแสดงบัตรประกันสุขภาพแห่งชาติ ใบรับรองถิ่นที่อยู่ของคนต่างด้าว หรือใบอนุญาตเข้าประเทศอย่างถูกต้อง โดยผู้ที่มีเอกสารเลขคี่ จะได้รับอนุญาตให้ซื้อหน้ากากในวันจันทร์ พุธ และศุกร์ ผู้ที่มีเอกสารระบุตัวตนเป็นเลขคู่ ให้ซื้อหน้ากากในวันอังคาร พฤหัสบดี และเสาร์ ส่วนวันอาทิตย์ ทุกคนจะได้รับอนุญาตให้ซื้อหน้ากากได้ สำหรับผู้ใหญ่ได้รับอนุญาตให้ซื้อหน้ากาก 2 ชิ้น/ครั้งใบ และเด็ก 4 ชิ้น/ครั้ง โดยมีข้อจำกัด ว่า หากจะมาซื้อใหม่ ต้องผ่านไปอย่างน้อย 7 วันหลังซื้อ
ต้นเดือน ก.พ. 63 ศูนย์บัญชาการการแพร่ระบาดกลางของไต้หวัน (CECC) ขอให้ระดมพลกองทัพไต้หวัน เพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส โดยทหารถูกส่งไปยังโรงงานผู้ผลิตหน้ากากรายใหญ่ เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ในการเพิ่มสายการผลิตหน้ากาก
5 มี.ค. 63 ไต้หวันปรับโควตาการซื้อหน้ากาก โดยผู้ใหญ่จะได้รับอนุญาตให้ซื้อหน้ากาก 3 ชิ้น/ครั้ง และสำหรับเด็กได้เพิ่มเป็น 5 ชิ้น/ครั้ง
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา กำลังการผลิตหน้ากาอนามัยในไต้หวันเพิ่มเป็น 8.2 ล้านชิ้น/วัน การเพิ่มขึ้นดังกล่าวทำให้รัฐบาลสามารถจัดสรรหน้ากากให้ประชาชนทั่วไปได้ 5.2 ล้านชิ้น/วัน จากเดิม 3.9 ล้านชิ้น/วัน ส่วนหน้ากากที่เหลือ 3 ล้านชิ้น/วัน จะถูกสงวนไว้สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ป้องกันการแพร่ระบาด
เกาหลีใต้
ผู้ผลิตหน้ากากอนามัยลดการส่งออกหน้ากากให้เหลือน้อยกว่า 10% ของการผลิตทั้งหมด และมากกว่าครึ่งหนึ่งของการผลิตจะต้องมอบให้กับผู้ขายที่กำหนดโดยรัฐบาล
90% ของหน้ากากทั้งหมดในเกาหลีใต้จะถูกส่งต่อไปภายในประเทศ มีบริษัทประมาณ 140 แห่งที่สามารถผลิตหน้ากากได้ 10 ล้านชิ้น/วัน ซึ่งหมายความว่าหน้ากาก 9 ล้านชิ้นจะถูกวางขายให้ประชาชนในประเทศ
ตั้งแต่ 28 ก.พ. 63 หน้ากากอนามัยจำนวน 5 ล้านชิ้น วางจำหน่ายที่ร้านค้าปลีกของรัฐ สหกรณ์การเกษตรแห่งชาติ ศูนย์กระจายสินค้าขนาดกลางและขนาดย่อม และที่ทำการไปรษณีย์ ราคาจะเริ่มต้นประมาณน้อยกว่า 30 บาท
นอกจากนี้จะมีการจัดสรรหน้ากาก 2.4 ล้านชิ้นให้กับร้านขายยา 24,000 แห่งทุกวัน ผู้บริโภคจะได้รับอนุญาตให้ซื้อหน้ากากได้สูงสุด 5 ชิ้น/คน โดยตามสถานที่จำหน่ายติดตั้งระบบดิจิทัลที่จะป้องกันไม่ให้ลูกค้าซื้อสินค้าเกินโควตา โดยการตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชน
5 มี.ค. 63 รัฐบาลเกาหลีใต้ตัดสินใจควบคุมกระบวนการผลิต การขนส่ง และการจัดจำหน่ายหน้ากากในเกาหลีใต้ เพื่อให้กระจายหน้ากากได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรมแก่ประชาชนทุกคน รวมถึงการห้ามส่งออกหน้ากากอย่างเต็มรูปแบบ แทนที่มาตรการก่อนหน้านี้ซึ่งอนุญาตให้มีการส่งออกไม่เกิน 10% ของการผลิตทั้งหมด
6 มี.ค. 63 รัฐบาลเกาหลีใต้จำกัดการขายของหน้ากากไว้ที่สัปดาห์ละ 2 ครั้ง/คน
9 มี.ค. 63 เริ่มใช้กฎวันคู่วันคี่ เช่น ประชาชนที่เกิดวันคู่ ให้ซื้อหน้ากากได้เฉพาะวันคู่ เป็นต้น
ฝรั่งเศส
ต้นปี 2563 ฝ่ายบริการสุขภาพประจำชาติ (NHS) สั่งซื้อหน้ากากอนามัยหลายล้านชิ้นจาก Valmy SAS
ฝรั่งเศสมีการจัดสรรหน้ากากอนามัยจำนวน 15 ล้านชิ้นทั่วประเทศ ส่งให้กับสถาบันสุขภาพ 138 แห่งที่รักษาผู้ป่วย โควิด-19 รวมถึงยังถูกแจกจ่ายไปยังผู้ปฏิบัติงานที่มีความเสี่ยงติดเชื้อ โควิด-19
3 มี.ค. 63 ท่ามกลางปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกัน โควิด 19 ทั่วโลก การกักตุนเริ่มเป็นปัญหา ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ประกาศในทวิตเตอร์ว่า รัฐบาลจะขอหน้ากากอนามัยทั้งหมด ทั้งในปัจจุบันและที่จะผลิตได้ในอนาคต เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะมีอุปกรณืป้องกันโรคอย่างเพียงพอ ส่วนประชาชนทั่วไปไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากาก
6 มี.ค. 63 ฝรั่งเศสออกข้อบังคับให้ผู้ผลิตหน้ากาก ยกเลิกคำสั่งซื้อจากสหราชอาณาจักร เนื่องจากการแย่งชิงอุปกรณ์ป้องกัน โควิด 19 นั้นทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยให้นำหน้ากากที่ผลิตได้นั้นมาใช้ภายในประเทศแทน โดยจะมีการแจกจ่ายไปยังร้านขายยาและโรงพยาบาลในฝรั่งเศส ด้าน Valmy SAS ก็จะเพิ่มกำลังการผลิตหน้ากากให้ได้มากขึ้น 10 เท่าจากปกติ
ญี่ปุ่น
26 ม.ค. 63 ญี่ปุ่นส่งหน้ากากอนามัยไปช่วยที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน
1 ก.พ. 63 หน้ากากอนามัยขายหมดทั่วประเทศญี่ปุ่น และสต็อกหน้ากากอนามัยหมดลงภายในหนึ่งวันที่มีของมาเพิ่ม
ก.พ. 63 ญี่ปุ่นเร่งกำลังการผลิตหน้ากากอนามัย 400 ล้านชิ้นต่อเดือน
2 มี.ค. 63 ญี่ปุ่นมีหน้ากากอนามัยอยู่ในคลังจำนวน 7,431,300 ชิ้น
3 มี.ค. 63 รัฐบาลสั่งให้ผู้ผลิตและน้ำเข้าหน้ากากอนามัยทั้งหมด ขายหน้ากากให้กับรัฐบาล เพื่อนำไปแจกจ่ายให้ประชาชนในฮอกไกโด ซึ่งกำลังเกิดการระบาด
4 มี.ค. 63 นายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ กล่าวว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาที่จะส่งมอบหน้ากากสำรองให้แก่สถาบันการแพทย์ที่ประสบปัญหาการขาดแคลน
6 มี.ค. 63 แจกจ่ายหน้ากากอนามัยรวม 40 ล้านชิ้น แก่ประชาชนที่เมือง นากะฟุราโนะ และคิตามิ บนเกาะฮอกไกโด ซึ่งเป็นพื้นที่ระบาดที่สำคัญ โดยรัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจนส่งและแจกจ่าย เป็นเงิน 672 ล้านบาท
เปิดมาตรการป้องกัน “โควิด-19” แต่ละประเทศ
จะเห็นว่า แต่ละประเทศมีแนวทางการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยที่แตกต่างกันออกไป แต่ส่วนมากล้วนแล้วแต่ห้นความสำคัญของการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานอยู่ในแนวหน้า ดังนั้น หนทางเดียวที่จะทำให้บุคลากรทางการแพทย์มีอุปกรณ์ป้องกัน โควิด-19 ที่เพียงพอนั้น ต้องสื่อสารให้ประชาชนลดความตื่นตระหนก ลดการกักตุนหน้ากากและนำไปค้ากำไรเกินควร เพราะเมื่อใดก็ตามที่เหล่าเจ้าหน้าที่ในแนวหน้าล้มลงจาก โควิด-19 หายนะที่แท้จริงก็จะมาเยือนเมื่อนั้น
ที่มา: BBC, Reuters, Taipei Times, Central News Agency, Focus Taiwan, ABC News, Yonhap News, The Korea Herald, The Diplomat, Channel News Asia, Vulcan Post, Euro News, Japan Times, The Asahi Shimbun