ดร.ปรีชา สุวรรณทัต ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสงฆ์ กล่าวถึงการจัดการทรัพย์สินมรดกของ พระเทพวิทยาคม หรือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ว่า หลักการใหญ่ๆ ที่ต้องพิจารณา คือ
1.หลวงพ่อคูณทำพินัยกรรมไว้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ทำ ทรัพย์สินทั้งหมดจะตกเป็นของวัดบ้านไร่ทันที ทั้งนี้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
2.หากหลวงพ่อคูณทำพินัยกรรม การจัดการทรัพย์มรดกก็จะเป็นไปตามพินัยกรรม หรือหากท่านแสดงเจตนายกทรัพย์สินให้ใครก่อนมรณภาพ ก็ต้องเป็นไปตามนั้น
สำหรับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามที่ อาจารย์ปรีชา กล่าวถึง บัญญัติไว้ในบรรพ 6 ว่าด้วยมรดก มาตรา 1623 ระบุว่า ทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้น เว้นไว้แต่พระภิกษุนั้นจะได้จำหน่ายไปในระหว่างมีชีวิตหรือโดยพินัยกรรม
อาจารย์ปรีชา กล่าวต่อว่า พิจารณาจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตราดังกล่าว ชัดเจนว่าทรัพย์สินของหลวงพ่อคูณในส่วนที่ไม่ได้ระบุในพินัยกรรม ต้องตกเป็นของวัดบ้านไร่ทั้งหมด เพราะเป็นวัดซึ่งเป็นภูมิลำเนาของหลวงพ่อคูณ ฉะนั้นหลังจากที่มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน และคณะกรรมการได้ทำงานไประยะหนึ่งแล้ว น่าจะมีการตั้งผู้จัดการมรดกขึ้นมา เพราะเงินที่อยู่ในบัญชีธนาคารต่างๆ จะไม่สามารถถอนมาดำเนินกิจการใดๆ ได้ โดยวิธีการ คือ ให้รักษาการเจ้าอาวาส หรือไวยาวัจกรของวัด ร้องไปที่ศาลเพื่อตั้งผู้จัดการมรดกตามกฎหมาย เมื่อตั้งแล้วจะมีการปิดประกาศเพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคัดค้านตามเวลาที่กฎหมายกำหนด
ส่วนข้อสังเกตเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของหลวงพ่อคูณ อาจารย์ปรีชา บอกว่า ต้องเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างครองสมณเพศ โดยไม่รวมพวกสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ของวัด และที่ดินวัดที่ถือเป็นที่ธรณีสงฆ์
ด้านปรเมศ อินทรชุมนุม อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 1 สำนักงานอัยการสูงสุด เผยในรายการเป็นเรื่องเป็นข่าว ทางช่อง PPTV HD ว่า ทันทีที่หลวงพ่อคูณ มรณภาพ หากไม่มีการระบุในพินัยกรรมทรัพย์สินจะถูกตกไปเป็นของวัด โดยเจ้าอาวาสคนใหม่จะมีอำนาจในการจัดการดูแลทรัพย์สินของวัดทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องมีผู้จัดการมรดกส่วนหากมีผู้ร้องเรียนนั้นจะต้องไปร้องเรียนต่อเจ้าคณะจังหวัดไม่ใช่ที่ศาล
ทั้งนี้ในเชิงกฎหมายไม่สามารถเข้าไปแตะศาสนาได้มากเพราะจะถูกมองว่าทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย