โดย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ห้ามการเดินทางจาก 26 ประเทศในยุโรปไปยังสหรัฐฯเป็นเวลา 30 วัน โดยมีผลตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 13 มีนาคม เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ตลาดหุ้นดาวน์โจนร่วงทันทีกว่า 2,300 จุด หรือ 10% เป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ ซึ่งก็มีผลกระทบตลาดหุ้นทั่วโลก ปรับลดลงทั้งหมดต่อเนื่องเช่นกัน
ฝ่าพิษ โควิด-19 หุ้นไทยปิดบวกรับศุกร์ 13
ซึ่งตลาดหุ้นไทย เมื่อช่วงเช้าวันนี้เปิดตลาดซื้อขายได้ไม่ถึง 2 นาที ดัชนีปรับลดลงทันที่กว่า 100 หรือกว่า 10% ตลาดหลักทรัพย์ ต้องใช้มาตการ เซอร์กิตเบรกเกอร์ หรือ หยุดการซื้อขายครึ่งชั่วโมง และหลังจากเปิดซื้อขายอีกครั้งประมาณ 10.30 น. ดัชนีหุ้นไทยก็ปรับลดลงต่อ โดยดัชนีอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1,000 จุด ก่อนที่ดัชนีจะปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งระหว่างวันการซื้อขายภาคเช้าตลาดหุ้นค่อนข้างผันผวน
24 รัฐ ในอเมริกา "ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข"
สำหรับการใช้ มาตการ เซอร์กิตเบรกเกอร์ หรือสั่งพักากรซื้อขายของไทยวันนี้้เป็นครั้งที่ 2 หลังจากเมื่อวานก็ได้ก็ได้สั่งการซื้อขายในช่วงบ่ายของการซื้อขายหลังจากที่ดัชนีปรับลดลงกว่า 10% และถือเป็นการใช้ มาตการเซอร์กิต เบรกเกอร์ ในรอบ 11 ปี ภายใต้วิกฤตโควิด-19
ด่วน! ตลท.ใช้ “เซอร์กิตเบรกเกอร์” หลังหุ้นร่วงหนัก 10%
การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นทั่วโลก เป็นตัวสะท้อนถึงการชะลอทางเศรษฐกิจและการประกาศปิดการเดินทางของประเทศ ต่างๆ ส่งผลต่อเศรษฐกิจ เกิดการชะงักงันทุกส่วนไม่ว่าจะเป็น การท่องเที่ยว การส่องออก และการจับจ่าใช้จ่ายของประชาชน เพราะบางประเทศ ก็ประกาศปิดร้านค้าเพื่อต้องการเลี่ยงกาติดเชื้อโควิด-19
โดยก่อนหน้านี้ ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบี ได้สำรวจผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอยู่ที่ประมาณ 0.1- 0.4% ของ GDP หรือคิดเป็นความเสียสูญมูลค่า ตั้งแต่ 7.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ จนถึง 3.47 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ
แต่หากว่า สถานการณ์รุนแรงในระดับปานกลาง (moderate scenario) ซึ่งหมายถึง มีการบังคับใช้มาตรการป้องกันหรือการคุมเข้มต่างๆ เช่น การห้ามเดินทาง 3 เดือน หลังเกิดการระบาดตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ความสูญเสียทางเศรษฐกิจของโลก ประมาณ 0.2 % ของ GDP หรือคิดเป็นมูลค่า 1.56 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ
เอดีบี วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยกระทบโควิด 19 เสียหาย 1.76 แสนล้านบาท
ส่วนความสูญเสียทางเศรษฐกิจของ "จีน" จะอยู่ที่ 1.03 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณร้อยละ 0.8 ของ GDP ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในเอเชียคาดว่าจะเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจรวมกันมูลค่า 2.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 0.2% ของ GDP รวมของประเทศเหล่านั้น
ส่วนของ "ไทย" นั้นในสถานการณ์รุนแรงในระดับปานกลาง คาดว่าจะเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ 5.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณร้อยละ 1.11 ของ GDP โดยการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
สถานการณ์ไวรัส ”โควิด-19” ในยุโรปยังเลวร้าย
ต้องจับตาดูว่า ประเทศโซนยุโรป และอเมริกา รวมถึงเอเชีย การแพร่ระบาดโควิด-19 จะส่งสัญญาณตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตว่าจะนิ่งหรือไม่ ซึ่งหากว่ามาตรการต่างๆที่แต่ละประเทศที่ประกาศใช้ ยังไม่สามารถคุมได้ และยังยืดเเยื้อ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นทั่วโลกก็ยังคงต้องเผชิญกับชะตากรรมต่อไปอีก ดังนั้น ในสัปดาหน้าคงต้องรอดูต่อว่า ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย จะดิ่งลงต่อ หรือพอที่ยืนระยะได้