เอกสารแถลงข่าวชี้แจงโดยคณะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีความเห็นแย้งคดีฟอกเงินแบงก์กรุงไทย โดยระบุว่า เมื่อพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวน และความเห็นของพนักงานอัยการ และคำพิพากษาของศาล ทั้งที่พิพากษายกฟ้อง และที่ทำความเห็นแย้งไว้ท้ายคำพิพากษา ประกอบกับความเห็นของพนักงานอัยการที่เห็นควรไม่อุทธรณ์คำพิพากษาแล้ว
“ดีเอสไอเห็นว่า ยังมีประเด็นสำคัญแห่งคดีที่ควรต้องนำสู่การพิจารณาของศาลสูงเพื่อวินิจฉัย อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงมีความเห็นให้ส่งอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาตามกฎหมายต่อไป และได้ส่งความเห็นพร้อมสำนวนการสอบสวนไปยังพนักงานอัยการแล้ว เมื่อวันที่ 24 เมษายน ที่ผ่านมา”
สำหรับกรณีดังกล่าวสืบเนื่องจาก การสอบสวนคดีอาญาในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน ที่เกี่ยวข้องกับคดีการทุจริตรายการปล่อยเงินกู้กลุ่มกฤษดามหานครของธนาคารกรุงไทย จำกัด มหาชน
ต่อมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลย ซึ่งก็คือ นายพานทองแท้ ชินวัตร และพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่อุทธรณ์คดี โดยส่งเรื่องให้ดีเอสไอพิจารณาตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษฯ มาตรา 34 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ โดยทางกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณากลั่นกรองเรื่องดังกล่าว เพื่อเสนอความเห็นต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทั่งดีเอสไอได้มีความเห็นแย้งในเรื่องนี้
ส่วนขั้นตอนการพิจารณาความเห็นแย้งนั้น ก่อนหน้านี้นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เคยระบุไว้ว่า คณะทำงานอัยการเห็นพ้องต้องกันว่า คำพิพากษาของศาลที่ยกฟ้องนายพานทองแท้ ว่าไม่ได้กระทำผิดนั้นชอบแล้ว ทั้งอัยการคดีพิเศษและอัยการคดีศาลสูงเห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตฯ ที่ยกฟ้อง โดยขณะนี้อยู่ที่ดีเอสไอว่าจะเห็นแย้งกับอัยการหรือไม่
- ถ้าหากดีเอสไอเห็นด้วยกับอธิบดีอัยการศาลสูง ก็จะถือว่าคดีเป็นอันสิ้นสุดทันที
- แต่ถ้าหากดีเอสไอมีความเห็นแย้ง (ซึ่งดีเอสไอแถลงยืนยันแล้วว่าเห็นแย้ง) ตามขั้นตอนก็จะต้องยื่นให้อัยการสูงสุด พิจารณาชี้ขาดตามกฎหมายต่อไป