วิกฤต โควิด-19 - สงครามน้ำมัน ปตท.พลิกขาดทุน 1,554 ล้านบาท


โดย PPTV Online

เผยแพร่




ผลประกอบการ บมจ.ปตท. (PTT) พลิกขาดทุน 1,554 ล้านบาท ใน ไตรมาส 1/63 ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 และสงครามราคาน้ำมัน

ผลประกอบการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ไตรมาส 1/2563 พลิกขาดทุนสุทธิ 1,554 ล้านบาท หลังมีผลขาดทุนสต็อกจากราคาน้ำมันดิบสิ้นไตรมาสร่วงแรงกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี ขณะที่ธุรกิจก๊าซฯมีผลการดำเนินงานลดลงจากราคาและปริมาณขายที่ลดลง ธุรกิจน้ำมันมีผลขาดทุนสต็อกและปริมาณขายที่ลดลง

อัปเดตข่าวสถานการณ์ โควิด-19 (COVID-19) ล่าสุด 11 พ.ค. 63

อัปเดตข่าว สถานการณ์ โควิด-19 ทั่วโลก ล่าสุด 11 พ.ค. 63

ซึ่ง ปตท.เตรียมแผนรับมือจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด-19 ที่ขยายวงกว้างจนส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับสงครามราคาน้ำมันที่ยังคงมีความไม่แน่นอน ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี มีความผันผวนซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของกลุ่มปตท.ในปีนี้ โดยทั้งกลุ่มปตท.ตั้งสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 63 ที่ระดับ 30-40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และคาดการณ์ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และค่าการกลั่นจะลดลงจากปีที่แล้ว พร้อมทั้งปรับตัวบริหารสภาพคล่อง ตามมาตรการ "ลด-ละ-เลื่อน" โดยคาดว่าทั้งกลุ่ม ปตท.จะลดงบลงทุนในปีนี้ได้ราว 10-15%

นักวิชาการ ชี้ ราคาน้ำมันดิ่ง ไม่กระทบไทย ชนวนใหญ่จากโควิด19 ทำ "น้ำมันล้นโลก" ไม่มีที่เก็บ

ส่วน ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม คาดว่าปริมาณขายเฉลี่ยในปีนี้จะต่ำกว่าแผนที่ตั้งไว้ประมาณ 7% จากปริมาณขายที่ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้ในภาคไฟฟ้าและปิโตรเคมี

ขณะที่ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ คาดว่าความต้องการใช้ในปีนี้จะลดลง 5-10% จากปีก่อน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซฯ ธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ และธุรกิจก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและภาคขนส่ง ขณะที่ธุรกิจระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจสถานีรับจ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Receiving Terminal) ผ่าน บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด (PTT LNG) จะไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากปริมาณขายและอัตราค่าบริการถูกกำหนดไว้ตามประกาศที่อนุมัติโดยภาครัฐ

ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ จากมาตรการล็อกดาวน์ของหลายประเทศส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก รวมถึงการลดกำลังการผลิตของโรงกลั่นในประเทศ และปริมาณความต้องการของตลาดโลกที่ลดลง ส่งผลให้ปริมาณขายของธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะปริมาณการน้าเข้า (Out-In) และปริมาณการค้านอกประเทศ (Out – Out) ซึ่งจากการประมาณการคาดว่าปริมาณขายในปี 63 จะลดลงจากปี 62 ประมาณ 3-5% ขณะที่กำไรขั้นต้น อาจจะลดลงตามปริมาณขายที่ลดลง เนื่องจากตลาดอยู่ในสภาวะอุปทานล้นตลาด

ธุรกิจน้ำมัน ได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ของประเทศที่ลดลงส่งผลต่อปริมาณการจำหน่ายของทั้งธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจค้าปลีก ซึ่งจะแปรผันตามผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่ง GDP ของไทยได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยวและการส่งออกเป็นหลัก ส่งผลโดยตรงต่อความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์น้ามันสำเร็จรูปทั้งน้ำมันอากาศยาน น้ำมันดีเซล และน้ำมันเบนซิน

ธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมี ผลิตภัณฑ์ของโรงกลั่นที่ได้รับผลกระทบอย่างมากคือน้ำมันอากาศยาน จากมาตรการล็อกดาวน์ของหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย ให้หยุดการดำเนินงานของสายการบินต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม โรงกลั่นของกลุ่ม ปตท. ได้ปรับเปลี่ยนแผนการผลิต โดยลดปริมาณการผลิตน้ำมันอากาศยานลง และหันไปผลิตน้ำมันดีเซลแทน เนื่องจากปริมาณความต้องการในตลาดยังไม่ลดลงมากนัก ทำให้กลุ่ม ปตท. คาดการณ์อัตรากำลังการผลิต (Utilization Rate) ของโรงกลั่นในกลุ่ม ปตท. ในปี 63 อยู่ที่ 90-100%

ธุรกิจไฟฟ้า กระทรวงพลังงานคาดการใช้ไฟฟ้าของประเทศในปี 63 จะลดลง 0.7% จากเดิมคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 2-3% ซึ่งธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. ที่จำหน่ายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ในขณะที่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม (IUs) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะได้รับผลกระทบตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

ทั้งนี้ ปตท.ได้ดำเนินการในการบริหารจัดการและออกมาตรการต่าง ๆ โดยการจัดตั้ง PTT Group Vital Center เพื่อวางแผนและบริหารจัดการภาพรวมการรับมือช่วงสถานการณ์วิกฤติทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ดำเนินการตามแนวทาง 4R’s ได้แก Resilience การปรับตัว สร้างความยืดหยุ่นให้กับองค์กรให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง , Restart เตรียมความพร้อมในการนำธุรกิจ พนักงาน ลูกค้าและคู่ค้า กลับสู่สภาวะปกติให้เร็วที่สุด และรักษาความสามารถในการแข่งขัน , Re-imagination จัดเตรียมรูปแบบธุรกิจเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเป็น Next normal และ Reform จัดโครงสร้างองค์กรและธุรกิจให้สอดคล้องกับทิศทางในอนาคต และพร้อมรองรับทุกสภาวการณ์ที่ไม่คาดคิด ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกทุกเมื่อ

สำหรับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายผ่านมาตรการ "ลด-ละ-เลื่อน" ได้แก่ "ลด" ค่าใช้จ่ายและการจ้างงานบุคคลภายนอกโดยเน้นดำเนินงานด้วยตนเองให้มากที่สุด "ละ" การเดินทางและกิจกรรมที่ไม่จำเป็น "เลื่อน" การลงทุนที่ไม่เร่งรัดโดยการจัดลำดับความสำคัญของโครงการลงทุน โดยคาดว่าทั้งกลุ่มปตท.จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) และทบทวนปรับลดแผนการลงทุน (CAPEX) ในปี 63 ได้ประมาณ 10-15% อย่างไรก็ตามโครงการลงทุนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เช่น โครงการท่อก๊าซฯเส้นที่ 5 ของ ปตท. และโครงการพลังงานสะอาด ของบมจ.ไทยออยล์ (TOP) ยังคงด้าเนินการตามแผนลงทุนเดิม ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท. ยังเน้นย้ำการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้มี การใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง (Cost Conscious)

อย่างไรก็ตาม กลุ่ม ปตท. เชื่อมั่นว่าจะสามารถนำธุรกิจกลับสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด และสามารถปรับรูปแบบการดำเนินงานเพื่อรองรับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน รวมทั้งวางแผนปรับรูปแบบธุรกิจใหม่ เพื่อให้ กลุ่ม ปตท. มีความพร้อมรับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจากการประเมินฐานะการเงิน แม้เป็นกรณี Stress case ปตท. และกลุ่ม ปตท. ยังคงสามารถลงทุนตามแผนการลงทุน (committed capital expenditure) 5 ปีตามมาตรการ ลด ละ เลื่อน และสามารถรักษาอันดับความน่าเชื่อถือ ในระดับ น่าลงทุน (investment grade) และหรือสูงกว่า ทั้งนี้ ปตท. สามารถรักษาอันดับความน่าเชื่อถือ ในระดับ BBB+ ซึ่งเป็นระดับเดียวกับประเทศ โดยยังมีสภาพคล่องที่สูงและมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง

 

TOP ประเด็นร้อน
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ