จากกรณีข่าวการหายตัวไปของ นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ หรือ ต้าร์ อายุ 37 ปี นักเคลื่อนไหวและเรียกร้องสิทธิทางการเมือง ที่ญาติและคนใกล้ชิดเชื่อว่าถูกอุ้มตัวหายไปตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน ที่ผ่านมา ที่หน้าโรงแรมที่พัก ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้ ผ่านไป 3 วัน นายวันเฉลิมยังขาดการติดต่อ ไม่ทราบชะตากรรม ขณะที่ตำรวจไทยและตำรวจกัมพูชา ต่างออกมาปฏิเสธไม่ทราบเรื่องการหายตัวไปของนายวันเฉลิม และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เปิดระเบียบติดตามผู้ร้ายข้ามแดน ม.157 เข้าข่ายข้อหาสากล
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ทราบว่านายวันเฉลิม เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ในคดีความผิด ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และเมื่อปรากฏข้อมูลว่าหลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน ได้ประสานตามกระบวนการที่ผู้ต้องหาตามหมายจับหนีไปต่างประเทศ
“ก็ไปดูเรื่องของ พ.ร.บ.ความร่วมมือทางคดีอาญา เรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดน และการโอนตัวนักโทษกลับมา ในการประสานงานเราใช้ช่องทางตำรวจสากลประสานงานไปตามปกติ ซึ่งเป็นการประสานไว้นานแล้วตั้งแต่ทราบว่ามีการหลบหนี การดำเนินการในประเทศใดๆเป็นกิจการภายในประเทศนั้น”รองโฆษตร.กล่าว
ทั้งนี้ ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2562 กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ระบุว่า ไทย และตำรวจกัมพูชา มีความสัมพันธ์อันดี หลายครั้งที่ผู้ต้องหารายสำคัญ หลบหนีไปยังกัมพูชา ก็ประสานความร่วมมือจนจับกุมได้ เช่นกรณี เสี่ยอ้วน ที่ก่อเหตุยิง “น้องสปาย” อดีตคนรักที่เขาชีจรรย์ จ.ชลบุรี
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ไทยและกัมพูชา มีการตกลงทำความร่วมมือทางอาญา 2 ด้าน
ความร่วมมือในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ตั้งแต่ วันที่ 31 มีนาคม 2544
ความร่วมมือในการโอนตัวนักโทษ ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2552 เช่นกรณีนายวีระ สมความคิด และพวก ถูกจับกุมฐานรุกล้ำเขตแดนและจารกรรมข้อมูล ในปี 2553 ถูกดำเนินคดี จองจำในเรือนจำเปรยซอว์ กัมพูชา ก่อนโอนตัวมาคุมตัวในเรือนจำไทย
ปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย ยังมี “ผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจประจำกรุงพนมเปญ” ด้วย
แม้ที่ผ่านมา มีการประสานงานกันทางอาญามาโดยตลอด แต่ไม่ปรากฏข้อมูลว่า ตำรวจไทยและกัมพูชา มีสนิสัญญาว่าวยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญาฯอย่างเป็นทางการต่อกัน ระหว่าง 2ประเทศ แต่อย่างใด แต่เป็นความร่วมมือกันในนามสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)
ในการศึกษาเรื่อง การส่งผู้ร้ายข้ามแดน : วิธีเอาตัวผู้กระทำผิดที่หลบหนีในต่างประเทศกลับมาเพื่อดำเนินคดีหรือลงโทษ โดย พ.ต.ท.เกชา สุขรมย์
ระบุหลักเกณฑ์การส่งผู้ร้ายข้ามแดน
1. ต้องเป็นความผิดที่อาจมีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ หมายถึง ความผิดที่สนธิสัญญาระหว่างประเทศได้ระบุฐานความผิดไว้โดยเฉพาะเจาะจงในสนธิสัญญา ระหว่างกัน
2. หลักต่างตอบแทน (Reciprocity) หลักการนี้จะใช้ในกรณีที่ไม่มีสนธิสัญญาหรือข้อตกลงในเรื่องความร่วมมือทางอาญาระหว่างกัน แต่ประเทศผู้ร้องขอและประเทศผู้รับคำร้องได้พิจารณาแล้วว่า จะดำเนินการให้ความช่วยเหลือการดำเนินคดีทางอาญาแก่กัน และเป็นการตอบแทนในลักษณะเดียวกัน
3. ต้องเป็นความผิดที่สามารถลงโทษได้ทั้งตามกฎหมายของรัฐผู้ร้องขอและรัฐผู้รับคำขอ คือต้องเป็นมูลความผิดตามกฎหมายทั้งในประเทศที่ร้องขอและประเทศ ที่รับคำขอเช่นเดียวกัน
4. การไม่ลงโทษซ้ำในความผิดเดียวกัน จะไม่มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ถ้าบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวได้รับการพิจารณาคดีและถูกพิพากษาลงโทษหรือถูกปล่อยตัวในรัฐที่รับคำร้องขอแล้ว ซึ่งเป็นความผิดเดียวกันกับความผิดที่ขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน
5. รัฐผู้ร้องขอจะดำเนินคดีได้เฉพาะความผิดที่ได้ระบุในคำร้องขอ ซึ่งรัฐผู้ร้องขอไม่อาจดำเนินคดีได้ หากไม่ใช่ความผิดที่ได้กล่าวอ้างไว้ในคำร้องขอ นอกจากนี้ยังห้ามไม่ให้รัฐที่ร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไปยังรัฐที่สามอีกด้วย หากรัฐที่ได้รับคำร้องขอไม่ยินยอม
6. การไม่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนในคดีเล็กน้อย คือ จะไม่ดำเนินการในกรณีความผิดที่มีโทษจำคุกหรือกักขังไม่ถึง 1 ปี เพราะการส่งผู้ร้ายข้ามแดนเป็นความร่วมมือทางอาญาระหว่างประเทศที่มี พิธีการ(ทางการทูต)และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
7. ต้องเป็นคดีที่ไม่ขาดอายุความ สำหรับอายุความนั้นให้ถือเอาอายุความในฐานความผิดของทั้งสองประเทศ คืออยู่ในช่วงเวลาอายุความทั้งในประเทศผู้ร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนและในประเทศผู้รับคำร้องขอ
8. บุคคลต้องปรากฏตัวอยู่ในรัฐที่ถูกร้องขอ คือ ต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่าบุคคลผู้กระทำความผิดนั้นได้ข้ามแดนไปปรากฏตัวอยู่ในรัฐที่ถูกร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน
ตร.ไทยไม่รู้เรื่อง ใครอุ้ม "วันเฉลิม" ยัน มีหมายจับ ประสานเพื่อนบ้านตั้งแต่รู้ว่าหลบหนี
ข้อยกเว้นของการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
1. ความผิดทางการเมือง เพราะถือว่าไม่เป็นอาชญากรรมที่แท้จริง แต่เป็นเพียงการกระทำผิดเพราะมีแนวคิดไม่ตรงกับผู้มีอำนาจบริหารประเทศในขณะนั้น (แต่ในทางปฏิบัติยังไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจนของความผิดนี้)
2. ความผิดต่อกฎหมายพิเศษ เช่น ความผิดที่มีลักษณะเป็นความผิดต่อกฎหมายพิเศษในทางปกครอง ได้แก่ ความผิดกฎหมายการล่าสัตว์หรือกฎหมายป่าไม้ นอกจากนี้ยังรวมถึงความผิดต่อกฎหมายการพิมพ์ ความผิดต่อศาสนา ความผิดเกี่ยวกับกฎหมายทหาร เป็นต้น
3. การไม่ส่งคนชาติข้ามแดน ในประเทศกลุ่ม Civil Law จะไม่ส่งคนชาติของตนข้ามแดนไปดำเนินคดีในรัฐอื่น เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ของรัฐในการปกป้องตนชาติของตนและอาจไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของรัฐอื่น แต่ในประเทศกลุ่ม Common Law จะไม่มีการห้ามการส่งผู้ร้ายข้ามแดนแม้เป็นคนชาติของตน เพราะประเทศเหล่านี้ถือหลักว่า ผู้กระทำความผิด ณ ที่ใด จะต้องถูกพิจารณาคดี ณ ที่ที่กระทำความผิด
4. ความผิดโทษประหารชีวิต (Death penalty) โดยเป็นไปตามสนธิสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน (United Nations Model Treaty on Extradition ซึ่งเป็นแม่แบบในข้อยกเว้นเรื่องความผิดโทษประหารชีวิต
5. พยานหลักฐานไม่เพียงพอ ซึ่งมีที่มาจากสนธิสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งกำหนดข้อยกเว้นให้ประเทศภาคีสมาชิกสามารถปฏิเสธไม่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ หากพยานหลักฐานไม่เพียงพอตามมาตรฐานกฎหมายลักษณะพยานของประเทศผู้ถูกร้องขอ