พยาน เผย รถแบ๊กโฮของเล่นน้องชมพู่ถูกเคลื่อนย้ายไว้ใกล้ศพ
ขณะที่ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร ยอมรับว่า จนถึงเวลานี้ตำรวจยังไม่ได้รับผลชันสูตรอย่างละเอียด ที่บ่งบอกสาเหตุการตาย จึงยังไม่ได้ตัดประเด็นใดทิ้ง รวมถึงข้อสังเกตว่า “น้องชมพู่อาจไม่ได้เสียชีวิตจากการถูกฆาตกรรม” ซึ่งตอนนี้ตำรวจบอกได้แค่ว่า ไม่เชื่อประเด็นเด็กเดินพลัดหลงไปเอง
ภูเหล็กไฟในวันนี้มีต้นหญ้าขึ้นรกทึบ สภาพเช่นนี้ชาวบ้านยืนยันว่า แตกต่างจากวันที่ 11 พฤษภาคม ที่เด็กหญิงอรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือ น้องชมพู่ วัย 3 ขวบ หายตัวไป แต่สิ่งที่เหมือนเดิม คือ ความลาดชันของภูเขาตลอดเส้นทาง
จุดพบศพน้องชมพู่ ถ้าวัดพิกัดแผนที่มีระยะทาง 1.2 กิโลเมตร จากบ้านของน้องชมพู่ ทีมข่าวใช้เวลาราว 1ชั่วโมงครึ่ง จึงจะเดินทางไปถึง ในบริเวณนี้ห่างจากจุดพบศพไปทางซ้ายมือราว 15 เมตร มีโขดหินเล็ก ๆ ที่พบรองเท้าเด็ก และห่างจากจุดพบรองเท้าประมาณ 15 เมตร จึงจะถึงโขดหินก้อนใหญ่ที่พบกางเกงของน้องชมพู่
หากย้อนกลับไปวันที่ 14 พฤษภาคม วันที่พบศพน้องชมพู่ นายพิเชษฐ์ สุขสบาย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูผายล คือ หนึ่งในคนที่มาอยู่จุดนี้ในวันนั้น เขา เล่าว่า ในวันนั้นช่วงเย็น ได้รับแจ้งจากชาวบ้านที่ขึ้นไปเก็บผักหวานว่า พบรองเท้าเด็กอยู่บนภูเหล็กไฟ จึงขอให้ชาวบ้านนำทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตำรวจ และกลุ่มชาวบ้านที่มาช่วยค้นหา ขึ้นไปอีกครั้ง
โดยลักษณะพื้นที่ของภูเหล็กไฟ เป็นภูเขาหินลาดชันที่มีทางราบเป็นจุดพักประมาณ 6 ชั้น หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูผายล เปิดเผยว่า จุดที่พบศพน้องชมพู่อยู่ชั้นที่ 4 โดยทีมค้นหาเริ่มออกเดินทางเวลาประมาณ 17.30น. และไปพบศพเวลาประมาณ 19.00 น. โดยจังหวะนั้นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูผาผลได้ยินเสียงผู้ชายพูดว่า “เจอแล้ว” จากนั้นก็ได้ยินเสียง นายไชย์พล วิภา ลุงของน้องชมพู่ร้องไห้
จากนั้นใช้เวลาราว 5-10 นาทีหลังจากได้ยินเสียง เดินขึ้นไปถึงจุดพบศพ เห็นนายไชย์พลนั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่ห่างจากศพราว 50 ซม. เท่านั้น แต่ไม่ได้เข้าไปสัมผัสตัว และชายอีกคนหนึ่งอยู่ข้าง ๆ กัน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูผายล จึงให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ยืนกันพื้นที่ 3-4 เมตร ไม่ให้ชาวบ้านเข้าใกล้ศพ ยกเว้น นายไชย์พลและชายที่เจอศพอีกคนหนึ่ง โดยสภาพศพที่พบ ไม่เห็นร่องรอยบาดแผลใหญ่ แต่มีรอยจ้ำเป็นจุดเล็ก ๆ ตามแขนขา ซึ่งช่วงที่เจอศพเป็นช่วงกลางคืน และตัวเองดูอยู่ห่างประมาณ 1 เมตร ทำให้เห็นรายละเอียดอื่นๆไม่ชัดเจนนัก
ด้านนายไชย์พล วิภา หรือ “ลุงพล” ลุงของน้องชมพู่ เปิดเผยว่า ขณะพบศพตนเองไม่ได้สังเกตรายละเอียดมากเพราะไม่อยากให้ภาพติดตา แต่เห็นบาดแผลชัดเจนบริเวณขา ลักษณะเหมือนโดนหญ้าแพรกตำ สภาพศพเสียชีวิตกำมือ และแผ่นหลังลักษณะเหมือนเนื้อบางส่วนหลุดออกไป รวมถึงเปลี่ยนเป็นสีอื่น
ทีมข่าวพยายามหาบุคคลที่เห็นสภาพศพและบริเวณจุดเสียชีวิตที่ชัดเจนว่ามีใครมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับทีมแพทย์และตำรวจในการหาต้นตอหารเสียชีวิตหรือไม่ จนกระทั่งไปพบกับ นายสมบัติ อวนวัง อดีตนายพราน หนึ่งในชาวบ้านกลุ่มแรกที่ขึ้นไปหาน้องชมพู่บนภูเหล็กไฟ ก่อนพบเป็นศพ พร้อมกับลุงพล เจ้าหน้าที่ป่าไม้ และชาวบ้านอีกส่วนหนึ่ง นายสมบัติเปิดเผยว่า ลักษณะสภาพศพของน้องชมพูที่เห็นคืออยู่ในสภาพเปลือย และช่วงขามีร่องรอยคล้ายถูกขีดขวนค่อนข้างเยอะ ต่างจากช่วงลำตัวและแขนที่ไม่พบว่ามีร่องรอยของการขีดข่วน ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่า น่าจะเป็นรอยที่เกิดจากกิ่งไม้ข่วน และบริเวณปลายเท้าพบว่ามีลักษณะเท้าพองคล้ายกับคนที่เดินทางไกล อีกทั้งที่บริเวณเท้าของน้องชมพู่ยังมีรอยเปื้อนขี้เถ้าคล้ายกับการเหยียบเถ้าถ่านจากไฟป่า แต่ไม่พบร่องรอยการล่วงละเมิดทางเพศ
ขณะที่สภาพแวดล้อมบริเวณศพนอกจากพบกางเกงแล้ว นายสมบัติ อดีตนายพราน ยังตั้งข้อสังเกตว่าบริเวณใต้หินก้อนใหญ่ มีร่องรอยคล้ายกับมีคนอาศัยอยู่มาก่อน
ข้อมูลนี้สอดคล้องกับพยานอีกคน ที่ขึ้นไปหาน้องชมพู่พร้อมกับนายสมบัติ เขาเล่าว่าลักษณะดินและต้นหญ้าบริเวณใต้หินก้อนใหญ่ ที่อยู่ใกล้กับศพของน้องชมพู่ มีลักษณะเรียบและลู่ไปกับพื้นดิน
ส่วนสภาพศพของน้องชมพู่ จากที่ยืนสังเกตด้วยระยะห่างประมาณ 2-3 เมตร เห็นว่าบริเวณใบหน้า ลำตัว และช่วงแขน ไม่มีร่องรอยของการถูกทำร้าย หรือ ร่องรอยขีดข่วน มีเพียงจุดเล็กๆ เป็นจ้ำๆ สีน้ำตาลคล้ำคล้ายกับถูกยุงกัด กระจายอยู่แบบห่างๆ ทั่วตัว แต่จุดที่เขาจำได้ดี คือ บริเวณหัวเข่าด้านซ้าย ที่มีร่องรอย คล้ายถูกข่วน หรือ บาด เป็นเส้นยาวประมาณ 1-2 นิ้ว ขนานกันประมาณ 2-3 เส้น ส่วนที่ขาข้างขวาไม่พบว่ามีร่องรอยอะไร ซึ่งพยานรายนี้เชื่อว่ารอยดังกล่าวไม่น่าเกิดจากการถูกกิ่งไม้ข่วน เพราะถ้าถูกกิ่งไม้ข่วน ต้องมีร่องรอยมากกว่านี้
ผู้ใหญ่ใกล้ชิด เผย พ่อน้องชมพู่มีความขัดแย้งกับเครือญาติ
พยานทั้ง2รายนี้ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ก่อนวันที่ 14 พฤษภาคม ที่พบศพน้องชมพู่ ได้มีฝนตกลงมา แม้จะตกไม่นาน แต่เป็นไปได้หรือไม่ว่าพยานหลักฐานบางอย่างอาจถูกน้ำฝนชะล้างไป
ด้าน พล.ต.ต.อรรคพงศ์ พิมลศิริ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร เปิดเผยว่า สภาพศพน้องชมพู่ไม่มีบาดแผลที่บ่งชี้ว่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต โดยยอมรับว่าตำรวจยังไม่ได้รับรายงานสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง และผลการชันสูตรอย่างละเอียด เพราะมีการส่งศพไปชันสูตร 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี และ สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ทำให้แพทย์ที่ชันสูตรต้องหารือเปรียบเทียบผลการผ่าพิสูจน์ทั้ง 2 ครั้ง ก่อนสรุปอย่างเป็นทางการ
พล.ต.ต.อรรคพงศ์ ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า น้องชมพู่เสียชีวิตที่จุดพบศพ หรื อเสียชีวิตที่อื่นและถูกเคลื่อนย้ายมาอำพรางในจุดพบศพ ทำให้ตำรวจตั้งสมมติฐานไว้หลายทาง คือ หากเสียชีวิตที่จุดพบศพ ก็เป็นไปได้ว่าอาจถูกลักพาตัวมา ส่วนศพที่พบด้านบนอาจถูกทิ้งให้เสียชีวิตเองหรือถูกฆาตกรรมก็ได้ หรือหากไม่ได้ถูกลักพาตัวมา ก็อาจเดินหลงขึ้นมาแล้วเสียชีวิตเองก็ได้ แต่ประเด็นนี้ตำรวจให้น้ำหนักน้อย เพราะลักษณะพื้นที่ไม่เชื่อว่าเด็ก 3 ขวบจะเดินขึ้นมาได้ ซึ่งประเด็นสันนิษฐานไว้เช่นนี้ตั้งแต่วันที่พบศพแรกๆ
หากเสียชีวิตที่จุดอื่นและถูกเคลื่อนย้ายมา ก็ชัดเจนว่าเป็นการอำพรางศพ แต่ สาเหตุการเสียชีวิตอาจเป็นการฆาตกรรมอำพราง หรืออาจเป็นอุบัติเหตุก็ได้ โดยล่าสุดตำรวจมุ่งปมว่าน้องชมพู่มีคนเกี่ยวโยงกับการหายตัวและเสียชีวิตของน้องชมพู่ค่อนข้างแน่
หากสรุปให้ง่ายนั่นหมายความว่า สาเหตุการเสียชีวิตของน้องชมพู่ตามที่ปรากฎข้อมูลในเวลานี้ ยังเป็นไปได้ในทุกทาง ทั้ง ถูกลักพาตัวไปเพื่อฆาตกรรม , ถูกลักพาตัว แต่ไม่เจตนาฆ่า เมื่อพลังมือจนส่งผลให้เสียชีวิต ผู้ก่อเหตุจึงอำพรางศพ , เกิดอุบัติเหตุจนทำให้น้องชมพู่เสียชีวิต ผู้ก่อเหตุจึงอำพรางศพ เพราะกลัวความผิด และสุดท้าย พลัดหลงและเสียชีวิตเอง ซึ่งประเด็นเหล่านี้จะทำให้ตำรวจตีวงข้อมูลผู้ต้องสงสัยที่มีอยู่ได้แคบลง
ผลชันสูตร "น้องชมพู่" ไม่พบถูกทำร้าย-ล่วงละเมิดทางเพศ
ผลชันสูตรล่าสุด “น้องชมพู่” พบบาดแผลที่อวัยวะเพศ
