ลูกชายอดีตข้าราชการ เข้าพบตร. ยันครอบครัวไม่เคยตั้งบริษัท
ลูกชายของอดีตข้าราชการอายุ 85 ปี และทนายความเข้าพบตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม หลังถูกเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรแจ้งให้ไปชี้แจงการชำระภาษีทั้งๆ ที่ไม่เคยจัดตั้งบริษัท จึงเชื่อว่าถูกปลอมลายเซ็นและนำที่อยู่ไปจดทะเบียนกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ส่วนกรณีแม่บ้านห้าง มีรายได้ 300 บาทต่อวัน ถูกเรียกเก็บภาษีนิติบุคลล 3 ล้าน 2 แสนบาท ก็น่าจะเกิดจากการถูกปลอมลายเซ็นเช่นเดียวกัน
ที่ สน.ทุ่งสองห้อง ช่วงเช้าที่ผ่านมา นายสรณคมน์ บัวพึ่งน้ำ ลูกชายอดีตข้าราชการวัย 85 ปี และทนายความ เข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม หลังแม่ของนายสรณคมน์ ถูกสำนักงานสรรพากร พื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร 21 มีนบุรี เรียกให้เข้าชี้แจงเรื่องการจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลของษริษัท ในฐานะกรรมการบริษัททที่ระบุที่ตั้งของบริษัทเป็นบ้านเลขที่บ้านของแม่นายสรณคมน์ย่านบางบัว
โดยนายสรณคมน์ยืนยันว่า ก่อนหน้านี้โทรศัพท์ไปชี้แจงว่าบ้านหลังนี้ไม่เคยจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท แต่เมื่อวานนี้เจ้าหน้าที่สรรพากรกลับนำหมายมาปิดที่บ้านอีกครั้ง และภายเอกสารระบุให้ น.ส.ณัฎฐา ยิ้มประเสริฐ ซึ่งนายสรณคมน์และแม่ไม่เคยรู้จัก ให้ไปพบเจ้าหน้าที่เพื่อชำระภาษี
นายสรณคมน์บอกว่า เมื่อนำชื่อไปตรวจสอบพบว่า น.ส.ณัฎฐา รับราชการในสังกัดเดียวกับแม่ ที่เกษียณไปแล้วกว่า 20 ปี จึงติดต่อสอบถาม ก็พบว่า น.ส.ณัฎฐาไม่ทราบเรื่องเช่นกัน
ด้าน น.ส. อำนวยพร มณีวรรณ์ ทนายความ เปิดเผยว่า การจัดตั้งบริษัท กรณีนี้เชื่อได้ว่ามีการปลอมแปลงลายมือชื่อในการเซ็นเอกสารจดทะเบียน ซึ่งมีความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร และแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน และพบว่าการแอบอ้างลักษณะนี้ มีมากขึ้น และอาจทำเป็นขบวนการ จึงขอให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าตรวจสอบสถานอย่างละเอียดก่อนรับจดทะเบียน
ส่วนประเด็นแม่บ้านห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งถูกกรมสรรพากรเรียกชำภาษี 3 ล้าน 2 แสนบาทเศษ เพราะบริษัทไม่ชำระภาษี ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยจัดตั้งบริษัท วันนี้ นายเกรียงศักดิ์ พินทุสรศรี ทนายความ นำ น.ส.นันทวรรณ คุ้มศิริ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรฯ 3 ล้าน 2 แสนบาทเศษ ไปขอความเป็นธรรมที่สำนักอัยการจังหวัดมีนบุรี ขอให้เลื่อนการนำผู้ต้องหาไปฟ้องต่อศาลศาลอาญามีนบุรีในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ ออกไปก่อน
น.ส.นันทวรรณ ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นกรรมการบริษัทและไม่เคยทำธุรกิจ ลายมือในเอกสารของบริษัทไม่ใช่ลายมือของเธออย่างแน่นอน และเธอก็มีฐานะยากจน มีรายได้จากการเป็นแม่บ้านที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการเท่านั้น หากถูกสั่งฟ้อง อาจต้องเข้าเรือนจำ เพราะไม่มีเงินประกันตัว เนื่องจากยอดฟ้องสูงถึง 3.2 ล้านบาท
ผช.ผญบ.ไม่ปฎิเสธ มีปลอมลายเซ็น เบิกเงินโครงการประชารัฐ
ขณะที่ทนายความบอกว่า หากสั่งฟ้องในวันที่ 13 กรกฏาคมนี้้ เกรงว่า น.ส. นันทวรรณจะติดคุก ทำให้ครอบครัวลำบาก และมีแม่อายุ 76 ปี ป่วยด้วยโรคหัวใจที่ต้องดูแล จึงขอความเป็นธรรมให้ขยายเวลาสั่งฟ้องออกไปก่อน เพื่อขอรวบรวมพยานบุคคลและพยานเอกสารพิสูจน์ว่า น.ส.นันทวรรณ ไม่ได้กระทำความผิดจริง
ด้านนางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ โฆษกกรมสรรพากร ชี้แจงว่า ประเด็นพนักงานในให้างจังหวัดสมุทรปราการ ถือว่าสิ้นสุดกระบวนการของกรมสรรพากรแล้ว อ้างอิงจากการจดทะเบียนของกรมพัฒนาธุรกิจ และประเมินภาษีจากรายได้ในปี 2552 ที่มีการตรวจสอบ ซึ่งปี 2552 นั้น นิติบุคคลแห่งนี้มี น.ส.นันทวรรณเป็นกรรมการบริษัทกรมสรรพากรจึงต้องฟ้องตามชื่อที่ใช้จดทะเบียน ส่วนถูกสวมสิทธิหรือไม่ เป็นขั้นตอนของพนักงานสอบสวนและอัยการที่ต้องพิสูจน์ต่อไป
ส่วนกรณีอดีตข้าราชการ โฆษกกรมสรรพากร ชี้แจงว่า เป็นเพียงขั้นตอนแรกเชิญไปให้ข้อมูลเท่านั้น ซึ่งเจ้าของบ้านมีสิทธิชี้แจงข้อเท็จจริงต่อเจ้าหน้าที่ พร้อมยืนยันว่า กระบวนการตรวจสอบและติดดหมายเชิญ ได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างถูกต้อง
กองทุนหมู่บ้าน ปฏิเสธละเลย ปล่อยผญบ.ปลอมลายเซ็นเบิกเงิน