ทรัมป์ยอมรับเป็นครั้งแรก โควิด-19 สหรัฐฯ จะเลวร้ายกว่าเดิม


โดย PPTV Online

เผยแพร่




สหรัฐฯยังคงนำโด่งเป็นอันดับหนึ่งในเรื่องจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิด-19 ล่าสุดตัวเลขผู้ติดเชื้อ 3,970,000 คนแล้ว ส่วนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 144,000 คนที่ผ่านมาทรัมป์ปฏิเสธและไม่เคยยอมรับว่า สถานการณ์โควิดในสหรัฐเลวร้าย จนกระทั่งเมื่อคืนนี้มีการเปลี่ยนท่าทีอย่างสิ้นเชิง โดยเขายอมรับระหว่างการรายงานสถานการณ์โควิดประจำวันด้วยตัวเองว่า สถานการณ์โควิด-19 ในสหรัฐจะเลวร้ายลงกว่าเดิม

“ทรัมป์” ต่อเวลาปิดประเทศถึง 30 เม.ย. หวั่น ยอดตายโควิด-19 ถึงหลักแสน

"บราซิล" ลบข้อมูลผู้ป่วยสะสมโควิด-19 เน้นรายงานตัวเลขรายวัน

เมื่อวานเป็นวันแรกที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กลับมาจัดรายการรายงานสถานการณ์โควิด-19 ด้วยตัวเอง หลังจากเขาประกาศทวงคืนพื้นที่รายการท่ามกลางการระบาดที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในสหรัฐฯ และก็เป็นวันที่เราเห็นจุดยืนของเขาต่อการระบาดในหลายประเด็นที่แตกต่างออกไปจากเดิม  โดยประเด็นแรกคือ เขายอมรับว่าสถานการณ์การระบาดในสหรัฐฯ จะเลวร้ายลงกว่าเดิม ก่อนที่มันจะค่อยๆ ดีขึ้น และสหรัฐฯ จำเป็นต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ในการรับมือกับการระบาด หลังจากก่อนหน้านี้เขาบอกว่าไวรัสโควิด-19 จะหายไปเอง

ประเด็นที่สองคือ ทรัมป์ยอมรับว่าสถานการณ์การระบาดในรัฐทางตอนใต้และตะวันตกน่าเป็นห่วง และกำลังถึงจุดวิกฤต โดยทั้งอัตราผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตพุ่งสูงอย่างแทบควบคุมไม่ได้เป็นที่น่าสังเกตุว่า หลายรัฐที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าวเป็นรัฐที่มีผู้ว่าการเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน

การออกมายอมรับส่าสถานการณ์กำลังเลวร้ายลง สวนทางกับการสัมภาษณ์ที่ให้กับสถานีโทรทัศน์ Fox News เมื่อ 3 วันที่ผ่านมา โดยในคราวนั้นทรัมป์บอกว่า สหรัฐเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราผู้เสียชีวิตต่ำที่สุดในโลกและเรื่องหรือประเด็นที่ 3 ที่ทรัมป์มีการเปลี่ยนแปลงจุดยืนและเป็นประเด็นร้อนแรงมาโดยตลอด นั่นคือเรื่องการสวมใส่หน้ากากอนามัย

จากที่เคยบอกว่าการสวมใส่หน้ากากอนามัยเป็นสิทธิส่วนบุคคล และตัวเขาเองก็เลือกที่จะไม่ใส่มาวันนี้ทรัมป์เตือนอย่างเป็นทางการให้ทุกคนสวมใส่หน้ากากอนามัย หากไม่สามารถรักษาระยะห่างได้  สำหรับเรื่องหน้ากากอนามัย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์เปลี่ยนท่าที แต่ถือเป็นครั้งแรกที่เราได้ยินเขายอมรับอย่างเต็มปากเต็มคำถึงผลกระทบของการไม่ใส่หน้ากากอนามัย และขอให้ทุกคนปฏิบัติตามนี้

จุดยืนต่อเรื่องหน้ากากอนามัยของทรัมป์ค่อยๆ เปลี่ยนมาตั้งแต่เขาสวมใส่หน้ากากอนามัยต่อหน้าสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม จนกระทั่งบอกว่าการสวมใส่หน้ากากอนามัยเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงการรักชาติเมื่อวานนี้ ท่าที จุดยืนที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะการยอมรับว่าสถานการณ์รุนแรงและจะเลวร้ายลงอีก

รวมถึงการที่กลับมาแถลงสถานการณ์การระบาดของโควิดด้วยตัวเอง เป็นภาพที่ย้ำเตือนถึงสถานการณ์การระบาดที่รุนแรงของสหรัฐฯ ที่ผู้นำประเทศมหาอำนาจไม่สามารถรับมือได้เลยในตลอดช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

สิ่งที่น่าสังเกตในการรายงานสถานการณ์โควิดของทรัมป์คือ เขามักหน้าดูสคริปต์ระหว่างการรายงาน ซึ่งเป็นภาพที่แปลกตาไปจากปกติที่มักจะพูดโดยไม่มีสคริปต์ และตอบโต้ผู้สื่อข่าวด้วยความมั่นอกมั่นใจหรือโต้เถียงอย่างเผ็ดร้อน

นอกจากนี้การรายงานสถานการณ์กินเวลาเพียง 27 นาที ซึ่งเป็นการที่สั้นที่สุดครั้งหนึ่งของทรัมป์ นอกจากนี้ยังตอบคำถามนักข่าวเพียงสั้นๆ มากกว่าที่จะชวนโต้เถียงเหมือนครั้งก่อนๆ

ส่วนเนื้อหาที่พูดในครั้งนี้ก็อิงข้อมูล ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ มากกว่าที่จะเป็นความคิดเห็นส่วนตัวหรือสิ่งที่ตัวเองเชื่อ การพูดตามสคริปต์ครั้งนี้จึงสะท้อนว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มจะฟังคนอื่น และพูดอิงตามข้อมูลที่คนเตรียมให้มากกว่าแต่ก่อน การเปลี่ยนท่าทีที่เริ่มยอมรับสถานการณ์การระบาดเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักขึ้นเรื่อยๆว่า เป็นผู้นำที่ล้มเหลว ไม่สามารถนำพาประเทศผ่านวิกฤตไปได้

นอกจากเสียงวิจารณ์แล้ว สิ่งที่ทำให้ทรัมป์ต้องกลับตัวก็คือ คะแนนนิยมที่ลดลงเรื่อยๆก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในอีกไม่ถึง 4 เดือนข้างหน้า โพลสำรวจของสำนักข่าว Washington Post ชี้ว่า ความพึงพอใจของประชาชนในตัวทรัมป์ในการรับมือกับโรคระบาดลดลงจากร้อยละ 58 ในเดือนมีนาคม เหลือเพียงร้อยละ 38 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ขณะที่โจ ไบเดน ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ที่มีคะแนนนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จากโพลสำรวจหลายสำนัก ใช้โอกาสนี้ในการบอกว่า ทรัมป์เพิกเฉยต่อภัยคุกคามที่กำลังทำลายล้างประเทศ และท่าทีต่างๆ ของเขาเปรียบเสมือนการยกธงขาวยอมแพ้ต่อวิกฤตครั้งนี้

ท่าทีที่เปลี่ยนไปของทรัมป์จึงมองได้ว่า เขาต้องการรักษาคะแนนความนิยมไม่ให้น้อยไปกว่านี้ และเรียกความมั่นใจของประชาชนในตัวเขากลับมา หลังจากที่เขาอาจประเมินผลกระทบของการระบาดครั้งนี้ผิดไป

ก่อนหน้านี้ทรัมป์พยายาม Politicised หรือทำให้เรื่องโควิดเป็นเรื่องการเมือง เช่น จุดยืนของเขาคือไม่ใส่หน้ากากอนามัย ถ้าใครใส่หน้ากากอนามัยคือไม่สนับสนุนเขา

แต่ปัญหาก็คือ โรคระบาดต่างจากประเด็นผู้อพยพ หรือประเด็นเชื้อชาติ ที่ทรัมป์ใช้การสร้างความเกลียดชังเพื่อเรียกเสียงคะแนนจากคนบางกลุ่มได้สำเร็จในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว

พอเป็นเรื่องโรคระบาด ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของทุกคน ไม่ว่าจะผิวขาว ดำ รวยหรือจน จะเป็น Republican หรือ Democrat ทำให้เรื่องนี้เอามาเล่นเป็นเรื่องการเมืองอย่างที่ทรัมป์เคยทำไม่ได้ เพราะโควิด-19 ครั้งนี้คุกคามทุกชีวิต และยิ่งไปกว่านั้นมันกำลังคุกคามรัฐทางใต้หลายรัฐ ที่เป็นฐานเสียงของพรรครีพับลิกัน และบางรัฐเป็นรัฐที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใครหรือ Swing State ที่มีผลอย่างมากต่อชัยชนะในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ทุกครั้ง

ทรัมป์จึงไม่สามารถหลีกหนีความจริงตรงนี้ได้ และต้องเปลี่ยนท่าทีให้โอนอ่อนลง หากเขายังต้องการรักษาเก้าอี้ประธานาธิบดีของตัวเองในสมัยถัดไป

 

TOP ประเด็นร้อน
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ