นายอานนท์ นำภา ทนายความและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เป็นจดหมายเปิดผนึกถึงอัยการสูงสุดและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมแนบเอกสารที่อ้างว่าเป็นผลตรวจสารในร่างกายนายวรยุทธ อยู่วิทยา ของสาขานิติเวชวิทยา ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2555 และเอกสารคล้ายส่วนหนึ่งของสำนวนการสอบสวนคดี
'กระทิงแดง' แจง 'บอส อยู่วิทยา' ไม่เกี่ยวข้องธุรกิจ เข้าใจความรู้สึกสังคม
ใจความว่า ตามที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องในคดีของนายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหาในคดีขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายฯ ซึ่งเป็นคดีที่สังคมให้ความสนใจและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ในการสั่งคดี
ข้าพเจ้าในฐานะราษฎรที่มีความสนใจและติดตามคดีนี้ ตั้งคำถามต่อกระบวนการสอบสวนคดีนี้ดังนี้
๑. เพราะเหตุใดพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการจึงไม่ตั้งข้อหาเสพโคเคนซึ่งเป็นสารเสพติดประเภทสอง และไม่ดำเนินคดีข้อหาขับรถโดยเสพสารเสพติดประเภทสองในคดีนี้ตั้งแต่แรกของการดำเนินคดี
๒.เพราะเหตุใดอัยการสำนักงานอัยการสูงสุด(โดยนายเนตร นาคสุข) และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจึงมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ทั้งที่อัยการศาลอาญากรุงเทพใต้ได้มีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาไปแล้ว และทำไมทั้งพนักงานตำรวจและพนักงานอัยการจึงโอนอ่อนผ่อนตามให้ผู้ต้องหาโดยการไม่ออกหมายจับตั้งแต่ 2 ครั้งแรกที่มีหมายเรียก แต่รอถึงต้องมีหมายเรียกถึง 7 ครั้ง กระทั่งคดีบางส่วนขาดอายุความและผู้ต้องหาหลบหนีไป
ย้อนคดี “ทายาทกระทิงแดง” พบทำสำนวนอ่อน
ข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
๑. จากหนังสือแจ้งผลการตรวจสารแปลกปลอมของโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ น.๓๙๕/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ที่ตรวจสารแปลกปลอมที่พบในร่างกายของนายวรยุทธ อยู่วิทยา ปรากฏว่าพบสาร Benzoylecgonine ซึ่งเป็นผลมาจากการเสพโคเคน ( สารนี้จะไม่พบในอาหารและยาอื่น) และพบสาร Cocaethyene ซึ่งเป็นผลมาจากการเสพโคเคนร่วมกับแอลกอฮอล์ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับรายงานฉบับนี้จากแพทย์ผู้ตรวจพิสูจน์แล้ว มีเหตุผลอะไรที่พนักงานสอบสวนไม่ตั้งข้อหาเสพโคเคนซึ่งเป็นสารเสพติดประเภทสอง และไม่ดำเนินคดีข้อหาขับรถโดยเสพสารเสพติดประเภทสองในคดีนี้ตั้งแต่แรกของการดำเนินคดี ทั้งที่มีความชัดเจนของผลตรวจ
๒. คดีนี้ ผู้ต้องหาไม่ได้ให้ความร่วมมือตั้งแต่ก่อเหตุชนคนตายแล้วหลบหนี ทั้งยังส่งพ่อบ้านซึ่งเป็นบุคคลอื่นเข้ามอบตัวแทน จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดำเนินการจับกุมจากบ้านพัก และมีการสอบสวนจนนำไปสู่การตั้งข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและข้อหาอื่น ๆ ซึ่งจากผลการตรวจสอบกล้องวงจรปิดโดย พ.ต.ต.ธนสิทธิ แตงจั่น กองพิสูจน์หลักฐานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปรากฏว่ารถของผู้ต้องหาใช้ความเร็วถึง ๑๗๗ กิโลเมตรต่อชั่วโมง จนนำไปสู่การสั่งฟ้องของอัยการศาลอาญากรุงเทพใต้ จากนั้น ผู้ต้องหาก็บ่ายเบี่ยงการเข้าพบอัยการเพื่อส่งตัวฟ้องต่อศาลมาโดยตลอด โดยมีการออกหมายเรียกถึง ๗ ครั้ง และมีการออกหมายจับ กระทั่งทราบว่าผู้ต้องหาได้หลบหนีออกต่างประเทศ
ระหว่างนั้น ฝ่ายผู้ต้องหาได้ขอให้พนักงานสอบสวนสอบสวนพยานฝ่ายผู้ต้องหาคือ พ.ต.ท.สมยศ แอบเนียน และ พ.ต.ท.สุรพล เดชรัตนวิไชย พยานทั้งสองปากกลับให้การโดยดูเพียงจากสภาพความเสียหายของรถทั้งสองคันเมื่อเปรียบเทียบกับคดีอื่นกลับให้ความเห็นว่ารถยนต์ของผู้ต้องหาใช้ความเร็วไม่เกิน ๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง และพนักงานสอบสวนได้สอบ ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม ตามที่ผู้ต้องหาร้องขอเมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นเวลาเกือบ ๕ ปี หลังเกิดเหตุ กลับได้ความว่ารถยนต์ของผู้ต้องหาใช้ความเร็ว ๗๖.๑๗๕ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งคำให้การของพยานทั้งสามขัดกับผลตรวจของกองพิสูจน์หลักฐานโดยพ.ต.ต.ธนสิทธิ ซึ่งได้ตรวจจากกล้องวงจรปิดหลังเกิดเหตุว่ารถยนต์ของผู้ต้องหาใช้ความเร็วถึง ๑๗๗ กิโลเมตรต่อชั่วโมง
วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๙ อัยการสั่งสอบพ.ต.ต.ธนสิทธิ ใหม่ ทำให้มีการให้การใหม่และแก้ไขคำให้การเดิมของ พ.ต.ต.ธนสิทธิ จากเดิม ๑๗๗ กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็น ๗๙.๒๓ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระหว่าง ๔ ปีก่อนเข้าให้การใหม่เกิดกระบวนการไม่ชอบมาพากลกับ พ.ต.ต.ธนสิทธิ หรือไม่ ?
จากนั้นวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๒ อัยการสำนักงานอัยการสูงสุดจึงสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมพยานอีก ๒ ปากคือ พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร และนายจารุชาติ มาดทอง ซึ่งอ้างว่าเป็นคนขับรถยนต์ในที่เกิดเหตุ เห็นรถยนต์ของผู้ต้องหาใช้ความเร็วเพียง ๕๐ถึง ๖๐ กิโลเมตรเท่านั้น
เบื้องลึก คำสั่งไม่ฟ้องคดี ทายาทกระทิงแดง
'บอส อยู่วิทยา' พ้นผิด ตำรวจยันจบทุกคดี สั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด เหตุไร้พยานหลักฐาน
จากนั้นเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๓ นายเนตร นาคสุข อธิบดีอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด รักษาการในตำแหน่งรองอัยการสูงสุด มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยทุกอย่างปิดเงียบกระทั่งประชาชนมาทราบเรื่องจากสำนักข่าวต่างประเทศและเกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
เพราะเหตุใดทั้งสำนักงานอัยการสูงสุดและสำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงกลับคำสั่งเดิมที่เคยสั่งฟ้องแล้วกลับมาสั่งไม่ฟ้องในภายหลัง ทั้งสององค์กรเชื่อพยานฝ่ายผู้ต้องหามากกว่าภาพที่ได้จากกล้องวงจรปิดและสอบสวนทันทีหลังเกิดเหตุกระนั้นหรือ ?
ด้วยข้อเท็จจริงและด้วยความสงสัยในการปฏิบัติหน้าที่ข้างต้น จึงเรียนมาเพื่อขอให้อัยการสูงสุดและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้แถลงข่าวชี้แจง เพื่อไขข้อสงสัยของประชาชน ก่อนที่ประชาชนจะหมดความศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรมไปมากกว่านี้
เปิดพยานปากเอก ทำคดีพลิก "บอส อยู่วิทยา" รอด หลุดทุกข้อหา!!
ลงชื่อ อานนท์ นำภา
ในฐานะราษฎร
นอกจากนี้นายอานนท์ยังอ้างด้วยว่า รายงานการคำนวณความเร็วรถของนายวรยุทธ ที่คำนวณตามหลักฟิสิกส์ ผลได้ว่าใช้ความเร็วขณะเกิดเหตุ 177 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง หายไปจากสำนวนคดี อย่างไรก็ตามเป็นเพียงการตั้งข้อสันนิษฐาน ขณะที่ เอกสารทั้ง 3 ชุดที่นายอานนท์นำมาอ้างถึง ยังไม่มีการยืนยันว่า เป็นฉบับจริงหรือไม่ แต่บุคคลที่ปรากฎในเอกสาร มีตัวตนจริง เป็นผู้มีตำแหน่ง หน้าที่และเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ