ผู้ประกันตนได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่ไร้การเยียวยา


โดย PPTV Online

เผยแพร่




มีเรื่องราวของหนึ่งในสมาชิกจากกลุ่มนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยตรงและไม่ได้เคยได้รับการเยียวยาจากมาตรการใดเลย เพียงเพราะมีสถานะเป็นผู้ประกันตน

อัปเดตข่าวสถานการณ์ โควิด-19 (COVID-19) ล่าสุด 29 ก.ค. 63

พบติดเชื้อ โควิด-19 รายใหม่ 1 ราย เป็นทหารไทยกลับจากฝึกที่ฮาวาย

รถตู้จำนวนมากจอดเรียงราย อยู่ระหว่างการรอให้ถึงรอบวิ่งรับส่งผู้โดยสารในหลากหลายเส้นทางของกรุงเทพและปทุมธานี หนึ่งในนั้น คือ นนทกร สมานจิตร พนักงานขับรถตู้ประจำทางของบ. เอกชนแห่งหนึ่ง

แม้สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยจะเริ่มคลี่คลายลง ผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตจนเกือบจะปกติแล้ว แต่ด้วยเส้นทางการวิ่งรถที่นนทกร ได้รับมอบหมายคือมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ตอนนี้ยังไม่เปิดการเรียนการสอน ทำให้สถานการณ์ของเขาที่ย่ำแย่มาตั้งแต่ช่วง โควิด - 19 ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่นัก อย่างในวันนี้มีผู้โดยสารเพียงแค่ 4 คนเท่านั้นจากปกติที่จะโดยสารกันเต็มคันรถ

ในช่วงที่มีการประกาศรณรรงค์ให้ประชาชนหยุดอยู่กับบ้าน หยุดเชื้อเพื่อชาติ ลดการแพร่กระจายของ โควิด-19 ตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมานั้น บริษัทรถรับส่งที่นนทกร สังกัดอยู่ยังต้องเปิดให้บริการตามปกติ แต่เป็นการวิ่งรถแบบไม่มีผู้โดยสาร เพราะบริษัทไม่สามารถหยุดให้บริการได้เนื่องจากเป็นการได้รับสัมปทานจากกรมการขนส่ง หากบริษัทหยุดให้บริการ บริษัทรถรับส่งเจ้าอื่นก็จะได้รับสัมปทานแทนทันที

บริษัทจึงต้องยอมแบกรับค่าใช้จ่าย ทั้งค่าน้ำมัน เงินเดือนพนักงาน เพื่อรักษาสัมปทานไว้ แต่แน่นอนว่าเมื่อไม่มีผู้โดยสาร ส่วนแบ่งของพนักงานขับรถ ที่แทบจะเป็นรายได้หลักก็หายไปด้วย นนทกรจึงตัดสินใจขอหยุดงาน เพราะการออกมาวิ่งรถแต่ละครั้งก็มีค่าใช้จ่ายประจำวันเกิดขึ้น ในขณะที่รายได้หายไปกว่า 70%

แต่ด้วยสถานะพนักงานประจำของบริษัท ทำให้นนทกรมีสถานะเป็นผู้ประกันตนในมาตรา 33 ในระบบประกันสังคมและไม่เข้าข่ายที่จะได้รับการเยียวยาใดๆจากหลายมาตรช่วยเหลือที่ออกมา ความน้อยเนื้อต่ำใจในฐานะผู้ประกันตน ที่แม้จะอยู่ในระบบประกันสังคมไม่นาน มีเงินสมทบอยู่ไม่มาก บวกกับการได้พูดคุยกับผู้โดยสารคนอื่นๆที่ได้รับผลกระทบและไม่ได้รับการเยียวยาจากประกันสังคมเช่นกัน ทำให้เขาต้องออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม

ในวันที่ไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มขอคืนไม่ได้ขอทาน เมื่อกลับมาถึงบ้าน พบว่ามีหมายศาลบ้านแปะต้อนรับอยู่ที่ประตูบ้าน จากตอนแรกที่คิดว่าเป็นหมายที่ได้รับจากการไปร่วมชุมนุม แต่เมื่ออ่านข้อความที่ระบุในเอกสาร กลับพบว่าเป็นหมายจากกรมบังคับคดี เตรียมดำเนินการอายัดทรัพย์สิน นั่นก็คือบ้านหลังนี้

แม้จะไม่ได้ถูกอายัดเพราะขาดส่งค่าผ่อนบ้านกับธนาคาร หากแต่เป็นผลมาจากคดีความเก่าที่มีกับไฟแนนซ์รถตู้ที่ซื้อวิ่งรับส่งผู้โดยสารแต่ได้รับผลกระทบจากช่วงน้ำท่วมใหญ่ 2554 ไม่สามารถผ่อนต่อได้ จึงต้องปล่อยให้รถถูกยึดและนั่นนำมาซึ่งปัญหาที่บานปลายจนบ้านกำลังจะถูกอายัด 

เจ้าตัวยอมรับว่าส่วนหนึ่งเพราะตนเองนั้นความรู้น้อย แต่แม้มีความคิดที่จะอยากติดต่อประนอมหนี้กับเจ้าหนี้หลังได้รับหมายศาลเพื่อรักษาบ้านหลังนี้ไว้แค่ไหน รายได้จากการขับรถที่เคยได้ถึงวันละ 800 ที่ตอนนี้เหลือเพียงวันละ 300 บาท ก็ทำให้นนทกรไม่กล้าที่จะติดต่อเพื่อเจรจาหาหนทางรักษาบ้าน สมบัติชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ เพียงเพราะเขาไม่มีเงินก้อน

เงินสมทบประกันสังคมที่แม้จะมียอดอยู่ที่ 2 หมื่นกว่าบาท แต่นั่นคือความหวังสุดท้ายที่อาจช่วยให้เขารักษาบ้านหลังนี้ไว้ได้

แม้ตอนนี้ภายในบ้านแทบจะว่างเปล่า เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่เคยมี ทั้งทีวี เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ รวมไปถึงเตาแก๊ส ถูกนำไปขายไปเพื่อเอาเงินมาประทังชีวิตในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ที่ยังคงเหลือไว้ไม่กี่อย่างคือสิ่งของจำเป็นสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันและสิ่งของของลูกสาววัย 9 ขวบที่ตอนนี้ต้องย้ายไปอยู่กับตาและยายที่ต่างจังหวัดชั่วคราวเพราะความยากลำบากในขณะนี้

ทุกครั้งที่นนทกรได้พูดคุยกับลูกสาวผ่านทางโทรศัพท์ ต้นมะม่วงที่ทั้งคู่ได้ช่วยกันปลูกคือหนึ่งในสิ่งที่เธอมักจะถามถึง พร้อมบอกกับผู้เป็นพ่อว่ายังรอวันที่จะได้กลับมาลิ้มรสผลไม้โปรดที่บ้านของเธอหลังนี้  นั่นทำให้ทุกวันนี้นนทกรยังเฝ้าดูแลทั้งบ้านและต้นมะม่วงอย่างดีที่สุดด้วยความหวังว่าจะได้กลับมาอยู่กันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาแบบครอบครัวอีกครั้ง ตราบเท่าที่บ้านหลังนี้ยังคงไม่ถูกอายัด

TOP ประเด็นร้อน
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ