อัยการ​ ร่ายเหตุผล​ ตร.ชงสำนวนอ่อน​ จึงสั่งไม่ฟ้อง​ “บอส​ อยู่วิทยา”


โดย PPTV Online

เผยแพร่




อัยการเปิดเกณฑ์พิจารณา 7 ข้อ สั่งไม่ฟ้อง “บอส วรยุทธ อยู่วิทยา” ชี้ ทำตามพยานหลักฐานของตำรวจ ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันความผิดผู้ต้องหา ไม่พบเอกสารหลักฐานตรวจเจอสารเสพติด และตำรวจไม่ได้ดำเนินคดีผู้ต้องหาฐานเสพยาเสพติด

พบคำสั่งอัยการเปลี่ยนไปมาใน 37 วัน ก่อนไม่ฟ้อง “บอส วรยุทธ”

“ส.ว.ก๊อง” เผย ความสัมพันธ์ “จารุชาติ” พยานสำคัญคดี “บอส อยู่วิทยา”

เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2563 น.ส.ณัฐวสา ฉัตรไพฑูรย์ อัยการพิเศษฝ่ายสถาบันกฎหมายอาญา ได้อธิบาย เกณฑ์การพิจารณาสั่งคดีอาญาของพนักงานอัยการ ในคดีของ นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ขับรถชนตำรวจ ใจความว่า

1. เกณฑ์มาตรฐานที่พนักงานอัยการใช้ในการพิจารณาสั่งคดีคือ คดีมีพยานหลักฐานพอฟ้องหรือไม่ คำว่า “พยานหลักฐานพอฟ้อง” ไม่ใช่เรื่องความเชื่อหรือความรู้สึก แต่เป็นการตรวจดูจากในสำนวนการสอบสวนว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะนำไปพิสูจน์ให้ศาลลงโทษจำเลย (ผู้ต้องหา) ตามข้อกล่าวหานั้น หรือไม่

2. คดีนี้ ไม่มีประจักษ์พยานในทางยืนยันการกระทำความผิดของผู้ต้องหา หลักฐานสำคัญที่พนักงานสอบสวนใช้ในการดำเนินคดีอาญากับผู้ต้องหา ได้แก่ ภาพเคลื่อนไหวช่วงก่อนเกิดเหตุที่บันทึกจากกล้องวงจรปิด ประกอบกับคำให้การของเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของตำรวจที่คำนวณอัตราความเร็วของรถคันเกิดเหตุ ระยะครูดของรถจักรยานยนต์บนถนน และสภาพรถคันเกิดเหตุทั้งสองคัน ซึ่งเดิมเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของตำรวจที่คำนวณอัตราความเร็วของรถคันเกิดเหตุให้การว่า คำนวณอัตราความเร็วของรถยนต์คันเกิดเหตุได้ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ต่อมาเจ้าหน้าที่ดังกล่าวให้การว่าตามที่คำนวณไว้เดิมเป็นการคำนวณผิด ที่ถูกต้อง คือ อัตราความเร็วของรถยนต์คันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุอยู่ที่ 79 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และปรากฏว่า จากการสอบสวนเพิ่มเติมอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนตร์และการพิสูจน์เหตุจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าฯ ยืนยันว่าจากการคำนวณตามหลักวิชาการโดยได้พิจารณาทั้งในเรื่องภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกจากกล้องวงจรปิด ระยะครูดของรถจักรยานยนต์บนถนน และสภาพรถคันเกิดเหตุทั้งสองคัน อัตราความเร็วของรถยนต์คันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุอยู่ที่ 79 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสำนวนคดีไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาหักล้างการคำนวณของผู้เชี่ยวชาญทั้งสองรายดังกล่าว พนักงานอัยการจึงย่อมต้องรับฟังข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานตามคำยืนยันของผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว สำนวนคดีจึงไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันว่าผู้ต้องหาขับรถด้วยความเร็วสูงในขณะเกิดเหตุ

3. ส่วนประจักษ์พยานสองคน ซึ่งมาให้การในชั้นสอบสวนเพิ่มเติม โดยคณะกรรมาธิการของ สนช.ร้องขอให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมนั้น นอกจากมีการสอบถามข้อเท็จจริงโดยคณะกรรมาธิการ สนช. อันเป็นการกลั่นกรองมาในระดับหนึ่ง และมีการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวน ซึ่งพยานทั้งสองคนมีตัวตนและที่อยู่เป็นหลักแหล่ง คนหนึ่งมียศพลอากาศโท ที่สำคัญคือพยานทั้งสองคนย่อมต้องรับผิดชอบตามกฎหมายอันมีโทษทางอาญาหากให้การเท็จต่อพนักงานสอบสวน ดังนั้น เมื่อคดีไม่มีพยานบุคคลอื่นใดที่รู้เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุมาให้การเป็นอย่างอื่น และไม่มีพยานหลักฐานที่กล่าวอ้าง หรือโต้แย้งว่าพยานทั้งสองคนดังกล่าวให้การเท็จ จึงย่อมไม่มีเหตุผลที่พนักงานอัยการจะอนุมานเอาเองได้ว่าพยานทั้งสองคนดังกล่าวให้การเท็จ หากแต่พนักงานอัยการก็ย่อมต้องรับฟังเป็นพยานหลักฐานประกอบกันกับพยานหลักฐานอื่น ๆ ในสำนวนคดี และเมื่อพยานทั้งสองคนดังกล่าวต่างให้การว่าตนขับรถตามหลังรถยนต์ที่ผู้ต้องหาขับในช่วงเกิดเหตุในความเร็วระดับ เดียวกันไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเห็นรถจักรยานยนต์ของผู้ตายขับตัดจากเลนที่หนึ่งจากซ้ายมือมา ตัดหน้ารถยนต์ของผู้ต้องหาในเลนที่สามจากซ้ายมือในระยะกระชั้นชิด โดยไม่มีพยานหลักฐานในสำนวนหักล้าง หรือโต้แย้งเป็นอย่างอื่น อีกทั้งยังสอดคล้องกับจุดชนที่อยู่เลนที่สามจากซ้ายมือ และสอดคล้องกับ คำให้การยืนยันของผู้เชี่ยวชาญทั้งสองรายดังกล่าว คดีจึงไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟ้องพิสูจน์ให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตายตามข้อกล่าวหาได้ การสั่งไม่ฟ้องเพราะเหตุพยานหลักฐานไม่พอฟ้องจึงชอบด้วยเหตุผลและเกณฑ์การสั่งคดีอาญาแล้ว

4. แม้ว่าตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78 วรรคสอง บัญญัติว่า ในกรณีที่ผู้ขับขี่หรือผู้ขี่หรือควบคุมสัตว์หลบหนีไป หรือไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สถานที่เกิดเหตุ ให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำความผิด ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้น ซึ่งจะต้องประกอบกับพยานหลักฐานอื่น โดยหากอาศัยลำพังข้อสันนิษฐานดังกล่าวเพียงอย่างเดียว แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้อ้างเป็นเหตุในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นเหตุให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นตายนั้นได้ และเมื่อพยานหลักฐานอื่นในสำนวนการสอบสวนมีไม่เพียงพอที่จะฟ้อง ลำพังข้อสันนิษฐานดังกล่าว ไม่ทำให้คดีมีพยานหลักฐานพอฟ้องในความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นตาย

5. ส่วนประเด็นที่ปรากฏตามข่าวว่ามีหนังสือของมหาวิทยาลัยมหิดล แจ้งพนักงานสอบสวนว่าตรวจพบสารเสพติดในร่างกายของผู้ต้องหา นั้น ไม่ปรากฏเอกสารหลักฐานดังกล่าวในสำนวนการสอบสวนแต่อย่างใด และไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาฐานเสพยาเสพติดแต่อย่างใดด้วย

6. อนึ่ง การสั่งคดีของพนักงานอัยการเป็นไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน ซึ่งพนักงานสอบสวนเป็นผู้มีอำนาจสอบสวนและทำการสอบสวน โดยที่พนักงานอัยการไม่มีอำนาจสอบสวนตามกฎหมาย และไม่อาจนำเอาข้อเท็จจริงจากสื่อสารมวลชนหรือจากแหล่งข้อเท็จจริงอื่นใดที่อยู่นอกสำนวนการสอบสวนมาใช้ในการสั่งคดีได้ และแม้พนักงานอัยการมีอำนาจสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติม ก็ต้องเป็นเวลาภายหลังจากที่พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วและส่งเป็นสำนวนการสอบสวนมายังพนักงานอัการ อีกทั้งการสั่งสอบสวนเพิ่มเติมในทางปฏิบัติย่อมต้องอยู่ในกรอบของข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นปรากฏในสำนวนการสอบสวนหรือจากประเด็นตามการร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาในคดี พนักงานอัยการไม่มีอำนาจไปแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานใด ๆ ได้เอง

7. อย่างไรก็ดี แม้พนักงานอัยการได้มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง ก็ไม่ตัดสิทธิของผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องต่อศาลเอง นอกจากนี้ ในกรณีที่ปรากฏพยานหลักฐานไหนอันอาจทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้ ก็อาจมีการรื้อฟื้นคดีโดยพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนพยานหลักฐานใหม่เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหานั้นใหม่ได้ตามกฎหมาย

"พ.ต.อ.ธนสิทธิ"คนตรวจความเร็วรถ"บอส" ลาพักร้อน

เผยคำให้การ 2 ครั้ง 'จารุชาติ มาดทอง' ก่อนตาย เปิดสายสัมพันธ์โยง ทนาย 'บอส อยู่วิทยา'

TOP ประเด็นร้อน
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ