ชินโซ อาเบะ "ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น" เพราะปัญหาสุขภาพ
สำรวจความเห็นคนญี่ปุ่น "ชินโซ อาเบะ" ลาออก
นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ลาออกด้วยปัญหาด้านสุขภาพ ในขณะที่ประเทศกำลังมีปัญหารุมเร้า ตอนนี้มีการเปิดเผยรายชื่อแคนดิเดต 4 คน ที่อาจเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนนายชินโซ อาเบะ
ถ้อยแถลงของชินโซ อาเบะ ที่ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยเหตุผลทางสุขภาพ หลังจากดำรงตำแหน่งมา 4 สมัย เป็นผู้นำที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุดของญี่ปุ่น
อาเบะ ในวัย 65 ปี เผชิญกับภาวะลำไส้ใหญ่อักเสบมานานหลายปี ซึ่ง อาเบะ ให้เหตุผลว่า เงื่อนไขทางสุขภาพจะเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจเรื่องสำคัญและการทำงานในฐานะผู้นำประเทศ โดยเขาจะยังอยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะมีคนใหม่มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
โดยการเลือกผู้นำประเทศคนถัดไปไม่ได้ขึ้นอยู่กับประชาชนชาวญี่ปุ่น หรือรัฐสภา แต่ขึ้นอยู่กับพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือพรรค LDP พรรครัฐบาลที่นายอาเบะเป็นหัวหน้าพรรค เนื่องจากเป็นพรรคที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภา โดยพรรคจะสรรหาและเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ภายในพรรค ซึ่งขณะนี้มีแคนดิเดต 4 คนที่เข้าข่ายเป็นนายกรัฐมนตรีคนญี่ปุ่นคนถัดไป
คนแรก คือ นายทาโระ เอโซะ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และรองนายกรัฐมนตรีวัย 79 ปี เป็นกำลังหลักของรัฐบาลนายอาเบะ และเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายกระทรวงตลอดเส้นทางการเมืองกว่า 40 ปี
คนที่สอง คือนายชิเกรุ อิชิบะ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมวัย 63 ปี เป็นคนที่ผลสำรวจชี้ว่า สภานิติบัญญัติอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปมากที่สุด แต่เป็นคนที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมภายในพรรคเท่าไหร่นัก เพราะเป็นเพียงไม่กี่คนที่มักวิพากษ์วิจารณ์นายอาเบะ และถือว่าเป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมที่มักเลือกใช้นโยบายทางทหาร มากกว่านโยบายทางการทูตสำหรับความขัดแย้งในภูมิภาค
คนที่สาม คือ นายฟูมิโอะ คิชิดะ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ วัย 63 ปี นโยบายทางการทูตของนายฟูมิโอะมักอยู่ภายใต้อิทธิพลของนายอาเบะ และถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่นายอาเบะอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป แต่ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่ได้รับความนิยมจากบรรดาสมาชิกพรรคเท่าไหร่นัก
และคนสุดท้าย คือ นายทาโระ โคโนะ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม วัย 56 ปี หรือแคนดิเดตที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาตัวเลือกทั้งหมด โดยเป็นรัฐมนตรีที่มักมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ก็เป็นรัฐมนตรีกลาโหมที่มีนโยบายสอดคล้องกับแนวคิดของนายอาเบะ อย่างเช่น ท่าทีต่อเกาหลีใต้ ประเทศคู่ขัดแย้งตั้งแต่สมัยสงคราม ที่อาเบะมักยังคงสงวนท่าทีกับเกาหลีใต้จนถึงทุกวันนี้ เขาจบการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา และเป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ
สำหรับการลาออกของนายชินโซ อาเบะ ถูกมองว่าเป็นการสิ้นสุดของช่วงเวลาความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเมืองของญี่ปุ่น เนื่องจากดำรงตำแหน่งนี้ติดต่อกันมาเป็นเวลา 8 ปี อย่างไรก็ตามการลาออกจากของเขาเกิดขึ้นท่ามกลางปัญหาและความท้าทายหลายด้าน ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ปัญหาอย่างแรก คือ ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างโรคระบาดโควิด-19 ที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในเมืองใหญ่ อย่าง โตเกียว ซึ่งอาเบะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ารับมือกับการระบาดได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก เมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียงอย่างเกาหลีใต้หรือจีน
ปัญหาอย่างที่สอง คือ ความท้าทายด้านเศรษฐกิจ อาเบะ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่นำเสนอนโยบายอาเบะโนมิกส์ นโยบายเศรษฐกิจการคลังที่ส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนผ่านนโยบายกระตุ้นต่าง ๆ หลังจากภาคเอกชนซบเซามากว่า 20 ปี แต่นโยบายของเขาให้ผลลัพธ์ทั้งเชิงบวกและลบ ตลอด 7 ปี ที่ญี่ปุ่นใช้นโยบายนี้ เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีการเติบโต เกิดผลกำไร และตลาดหุ้นคึกคัก แต่สภาวะแบบนี้กำลังหมดไป
เศรษฐกิจญี่ปุ่นในปัจจุบันกำลังเผชิญกับภาวะตกต่ำมาติดต่อกัน 3 ปี นโยบายอาเบะโนมิกส์ช่วยกระตุ้นบริษัทใหญ่ ๆ ก็จริง แต่ตราบใดที่อัตราค่าแรงของประชาชนยังไม่เพิ่มขึ้น การเติบโตของเศรษฐกิจก็ไปไม่ถึงประชาชน ส่งผลให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยน้อยลง และสุดท้ายเศรษฐกิจของญี่ปุ่นโดยรวมไม่ได้เติบโตเท่าไหร่นัก
ถ้ามองกว้างในระดับภูมิภาค ผลกระทบจากการลาออกของนายอาเบะมีอะไรบ้าง เป็นช่วงที่จีนมีมาตรการเชิงรุกมากขึ้นในพื้นที่พิพาททะเลจีนใต้ ญี่ปุ่นถือเป็นตัวละครที่คอยคานอำนาจจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออก อาเบะเป็นผู้นำที่มหาอำนาจคุ้นหน้าคุ้นตามาหลายปี โดยเขาถือเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นกับสหรัฐอเมริกา และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประธานาธิบดีโดนัลด์