ขณะที่ไต้หวันมองว่า ตัวเองเป็นชาติ เป็นอิสระ ไม่ได้ขึ้นหรือเป็นส่วนหนึ่งของจีน ที่บอกว่าต้องจับตามองเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นล่าสุดกับไต้หวันเมื่อช่วง 2 วันที่ผ่านมา มีเครื่องบินรบจีนเข้ามาป้วนเปี้ยนตามแนวเส้นกึ่งกลางระหว่างจีนกับไต้หวันถึง 40 ครั้ง คาดว่าไม่พอใจที่ไต้หวันกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา
จีนพร้อม “ทำสงคราม” หากไต้หวันคิดแยกเป็นเอกราช
รายงานเครื่องบินรบจีนบุกรุกเข้ามายังเขตแดนของไต้หวันนี้มาจากกระทรวงกลาโหมของไต้หวัน โดยระบุว่า ตลอดช่วงสองวันที่ผ่านมาในวันศุกร์และะเสาร์ เครื่องบินรบของจีนได้ข้ามเส้นกึ่งกลางหรือที่เรียกกันว่า Median Line มากถึง 40 ครั้ง
สอดคล้องกับถ้อยแถลงของประธานาธิบดีไช่ อิงเหวินที่ออกมาประณามการกระทำของจีน โดยระบุว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการคุกคามอธิปไตยของไต้หวันอย่างชัดเจน พร้อมเรียกร้องให้จีนยุติการกระทำยั่วยุนี้ที่กำลังเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาค
อย่างไรก็ตามหลังไต้หวันส่งเสียงเตือนไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ ล่าสุดเมื่อช่วงค่ำของวันจันทร์ที่ผ่านมา ทางกระทรวงกลาโหมไต้หวันรายงาน ยังคงพบเครื่องบินรบของจีน 2 ลำบินป้วนเปี้ยนบริเวณทางตอนใต้ของเกาะไต้หวัน โดยในครั้งนี้ไม่ได้ข้ามเส้นกึ่งกลางแบบเมื่อวันก่อน ส่งผลให้ทางกองทัพไต้หวันต้องประกาศให้เครื่องบินจีนถอยออกไป
อะไรคือเส้นกึ่งกลาง หรือ Median Line ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้?
พิจารณาจากภูมิศาสตร์ของจีนและไต้หวัน เส้นดังกล่าวตั้งอยู่ตรงกลางพอดีบนน่านน้ำระหว่างสองประเทศ โดยฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับไต้หวันคือมณฑลฝูเจี้ยนของจีน
เส้นกึ่งกลางนี้ไม่เหมือนเขตแดนสากลอื่นๆ แต่เป็นการตกลงกันเองระหว่างรัฐบาลจีนและไต้หวันที่กำหนดขึ้นเพื่อรักษาอธิปไตยของตน โดยมีสหรัฐฯ เป็นตัวกลางเมื่อปี 1954
ที่ผ่านมารัฐบาลจีนนั้นเคารพการมีอยู่ของเส้นกึ่งกลางนี้มาโดยตลอด เพิ่งจะไม่กี่ปีนี้เองที่มีรายงานการละเมิดเกิดขึ้น การข้ามเส้นครั้งก่อนๆ เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2019 เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2020 และเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี้เอง
ในขณะที่ไต้หวันมองว่าการข้ามเส้นคือการคุกคามอย่างชัดเจน แต่เหตุผลจากฝั่งจีนนั้นคนละเรื่องเลยทีเดียว เพราะทางการจีนออกมาระบุว่า ในฐานะที่ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน เส้นกึ่งกลางดังกล่าวจึงไม่มีอยู่จริง
อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายมองว่า เหตุผลที่แท้จริงของการยั่วยุมาจากความไม่พอใจที่ในช่วงหลายเดือนมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับไต้หวันที่แนบแน่นมากขึ้น
ที่ผ่านมา สหรัฐฯ นั้นสงวนท่าทีในการสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลไต้หวันมาโดยตลอด เพราะไม่อยากขัดกับจีน จนกระทั่งเข้าสู่รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เปิดหน้าประกาศสงครามการค้ากับจีน
ส่งผลให้เราได้เห็นการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับไต้หวัน โดยเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง นายคีธ แครช ปลัดกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เพิ่งจะเดินทางเยือนไต้หวัน เพื่อพบปะกับประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน
ถือเป็นเจ้าหน้าที่สูงสุดของสหรัฐฯ ที่มีโอกาสมาเยือนเกาะแห่งนี้ นับตั้งแต่ปี 1979 และหากย้อนกลับไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนหน้านายแครช อเล็กซ์ อาซาร์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐฯ ก็เพิ่งจะเดินทางมาเยือนกรุงไทเป ในฐานะผู้แทนของประธานาธิบดีทรัมป์
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้จีนไม่พอใจอย่างมาก เพราะมองว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในประเทศของตน เนื่องจากในมุมของจีนแล้ว ไต้หวันยังเป็นส่วนหนึ่งของจีน
กรณีที่เกิดขึ้นขณะนี้ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดไปทั่วภูมิภาค โดย Voice of America ได้เผยแพร่ผลสำรวจพบว่า ขณะนี้ชาวไต้หวันร้อยละ 64 กำลังเป็นกังวลว่าจีนแผ่นดินใหญ่อาจโจมตีพวกเขา แม้ทางไต้หวันเองระระบุว่า ทางกองทัพพร้อมตอบโต้ก็ตาม แต่เป็นที่รู้กันดีว่า ศักยภาพทางการทหารของจีนและไต้หวันนั้นต่างกันอย่างมาก
ข้อมูลจาก GlobalFirePower.com ปัจจุบันศักยภาพทางการทหารของไต้หวันอยู่ในอันดับที่ 26 ส่วนจีนอยู่ในอันดับ 3 เป็นรองแค่สหรัฐอเมริกาและรัสเซียเท่านั้น
อย่างไรก็ตามในฐานะพันธมิตร ล่าสุดสหรัฐฯ เข้ามาเสริมทัพ โดยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา กองเรือสหรัฐฯ และฝูงเครื่องบินรบได้เปิดปฏิบัติการซ้อมรบและยิงเรือที่เกษียณอายุให้จมลงสู่ก้นทะเล ในบริเวณใกล้กับเส้นกึ่งกลาง
ด้านจีนเองก็ยังคงปฏิบัติการซ้อมรบในทะเลจีนใต้อย่างต่อเนื่อง โดยในแถลงการณ์ระบุว่า การซ้อมรบจะดำเนินไปจนถึงวันที่ 1 ตุลาคมนี้
นอกเหนือจากความพยายามยั่วยุแล้ว ล่าสุดจีนยังปล่อยโฆษณาชวนเชื่อ หรือในอีกนัยหนึ่งคือทำสงครามประสาท ด้วยการโฆษณาแสนยานุภาพของกองทัพจีน
จีนปล่อยวีดีโอจำลองสถานการณ์ว่า ถ้าเครื่องบินรบจีนทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ H6 ลงไปยังฐานทัพสหรัฐฯ บนเกาะกวม ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของฟิลิปปินส์ จะเป็นอย่างไร
ภาพวิดีโอสุดยิ่งใหญ่ตระการตานี้ถูกเผยแพร่โดยกองทัพอากาศจีน แสดงให้เห็นถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น หากจีนเปิดปฏิบัติการโจมตีเกาะกวม
วิดีโอดังกล่าวกลายเป็นไวรัลบนโลกออนไลน์ของจีน และมียอดผู้เข้าบน Weibo มากถึงหลักล้านคน ด้วยความประทับใจว่าฉากระเบิดที่กองทัพจีนจำลองนั้นเทียบเคียงได้กับซีจีของฮอลลีวูด
อย่างไรก็ตามมีชาวเน็ตบางส่วนออกมาแฉ ระบุว่า ฉากอันยิ่งใหญ่นี้มาจากฮอลลีวูดจริงๆ เพราะภาพการระเบิดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของฟุตเทจจากภาพยนตร์เรื่อง Transformers: Revenge of the Fallen ส่วนฉากที่พื้นดินสั่นสะเทือนจากแรงระเบิดก็มาจากเรื่อง The Hurt Locker ภาพยนต์แนวสงครามดราม่าที่ได้รับรางวัลออสการ์ในปี 2008
พอมีคนจับได้แบบนี้ ชาวเน็ตจำนวนมากก็พากันท้วงติงเรื่องลิขสิทธิ์ ซึ่งทางกองทัพจีนยังไม่มีความเห็นต่อประเด็นนี้ ว่าได้ฟุตเทจดังกล่าวมาได้อย่างไร รวมไปถึงทำไมเลือกใช้ฟุตเทจจากหนังอเมริกันในการโชว์ความแข็งแกร่งของจีน ในเมื่อขณะนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศไม่สู้ดีนัก
สหรัฐฯอนุมัติขาย เครื่องบินรบให้ไต้หวัน 66 ลำ